ประเทศไทยขยับอันดับขึ้นมาติด Top 10 ของประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากที่สุดในโลกในช่วงเดือนมกราคม-พฤศจิกายนของปี 2024 นับว่าเพิ่มขึ้นจากอันดับที่ 12 เมื่อปี 2023 ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเตือนว่า ไทยน่าจะได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ภายในวันที่ 1 เมษายนนี้
วันนี้ (6 กุมภาพันธ์) บุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) กล่าวว่า หากพิจารณาตามความเสี่ยง (Risk) ต่างๆ แล้ว ประเทศไทยไม่น่าจะรอดจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เนื่องจากไทยเกินดุลการค้าสหรัฐฯ ค่อนข้างเยอะ เป็นอันดับที่ 10 ของโลก
โดยระหว่างเดือนมกราคม-พฤศจิกายนของปี 2024 ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ 4.15 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ นับว่า ‘สูงกว่า’ การเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ทั้งปี 2023 ซึ่งอยู่ที่ 4.07 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว
เปิดรายการสินค้าที่อาจรอดภาษีทรัมป์
อย่างไรก็ตาม บุรินทร์มองว่าสินค้าไทยบางชนิดอาจรอดจากมาตรการภาษีนำเข้าดังกล่าวได้ ตัวอย่างเช่น สินค้าที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีไปแล้วก่อนหน้านี้ และสินค้าที่สหรัฐฯ ไม่ได้ผลิตเอง หรือสินค้าที่ไม่ได้ช่วยเพิ่มการจ้างงานในสหรัฐฯ อย่างเช่น ยางล้อ หรือสินค้าที่ใช้แรงงานสูง อย่างเช่น สิ่งทอ
“ยางล้อก็เป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ไม่ได้ผลิตแข่งกับไทย เพราะฉะนั้นการขึ้นภาษีนำเข้ายางก็จะไม่ได้ช่วยเพิ่มการจ้างงานในสหรัฐฯ นอกจากนี้สิ่งทอ ซึ่งเป็นสินค้าที่ใช้แรงงานมาก ก็อาจเป็นอีกหนึ่งกลุ่มสินค้าที่อาจไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากค่าแรงสหรัฐฯ ค่อนข้างสูง” บุรินทร์กล่าว
สหรัฐฯ จะขึ้นภาษีไทยเมื่อไร?
สำหรับระยะเวลาที่สหรัฐฯ จะเริ่มขึ้นภาษีนำเข้าจากไทย บุรินทร์คาดว่าจะเกิดขึ้นภายในวันที่ 1 เมษายน 2025 ซึ่งเป็นวันที่ทรัมป์กำหนดเส้นตายให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และผู้แทนการค้าสหรัฐฯ สอบสวนหาสาเหตุที่ทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าเพิ่มมากขึ้น และให้เสนอแนวทางแก้ ซึ่งรวมถึงมาตรการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มสูงขึ้นกับสินค้าที่มาจากทั่วโลก
ดังนั้นบุรินทร์จึงแนะนำว่า กลยุทธ์ของไทยในการรับมือคือ การต้องเปิดตลาดให้กับธุรกิจสหรัฐฯ มากขึ้น หรือเพิ่มการนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ เพื่อลดการได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ
บุรินทร์ยังกล่าวอีกว่า “โดยตอนนี้สหรัฐฯ กำลังทบทวน (Review) อยู่ และทีมเจรจาของประเทศไทยมีเวลาไม่ถึง 2 เดือน ดังนั้นทีมเจรจาซึ่งผมไม่ทราบว่าเป็นใคร ต้องรีบไปเจรจาแล้ว และต้องพยายามลดการเกินดุลการค้าลงในช่วงนี้ด้วย เพื่อไม่ทำให้ไทยเสียฐานการผลิตในปัจจุบันไป”
ส่วนการลดการเกินดุลการค้าสหรัฐฯ บุรินทร์มองว่าสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การเปลี่ยนจากการซื้อสินค้าประเทศอื่นที่ไทยซื้ออยู่แล้วไปซื้อสินค้าของสหรัฐฯ แทน
โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังประเมินด้วยว่า มีสินค้าที่ไทยอาจจะต้องนำเข้าเพิ่มจากสหรัฐฯ ได้แก่ น้ำมันดิบ เคมีภัณฑ์ ก๊าซธรรมชาติ เครื่องบินเล็ก ถั่วเหลือง และข้าวสาลี
เปิดผลกระทบต่อภาคส่งออกไทย
สำหรับผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษีของทรัมป์ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินไว้ว่า หากสหรัฐฯ จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 60% และเก็บภาษีประเทศอื่นๆ ทั่วโลก (Universal Tariff) ในอัตรา 10% อย่างที่เคยประกาศไว้ในช่วงหาเสียง จะกระทบการส่งออกไทย -0.5% และอาจทำให้ค่าเงินบาทอ่อนไปถึงระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
“นโยบายทรัมป์ 2.0 จะเน้นการสร้างความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจและการทหารให้กับสหรัฐฯ เป็นหลัก เราจึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ที่สหรัฐฯ จะใช้ความยิ่งใหญ่ทางเศรษฐกิจของตนเองเป็นเครื่องมือต่อรองให้สหรัฐฯ ได้ประโยชน์จากความสัมพันธ์อย่างมากที่สุด” บุรินทร์กล่าว
ภาพประกอบ: พิชามญชุ์ วรรณสาร