×

ไทยในสายตาสหรัฐฯ ยุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิก และความเป็นพันธมิตรทางทหาร

23.09.2025
  • LOADING...

เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพงานที่สำคัญงานหนึ่งในแวดวงความมั่นคงของภูมิภาคอินโดแปซิฟิก นั่นก็คือ การประชุมผู้บัญชาการทหารสูงสุดภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Chiefs of Defense Conference 2025)

 

การประชุมนี้เป็นการรวมตัวของผู้บัญชาการทหารที่มีตำแหน่งสูงสุดของแต่ละประเทศในภูมิภาคอินโดแปซิฟิกที่จัดตั้งมาตั้งแต่ปี 1998 โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นตัวตั้งตัวตีเพื่อสร้างความเข้าใจ ความร่วมมือ และกรอบการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างพันธมิตรและมิตรประเทศของสหรัฐอเมริกา และเพื่อทำให้การประชุมนี้เป็นช่องทางในการสื่อสารและทำความรู้จัก ตลอดจนแลกเปลี่ยนความเห็นของผู้ที่มีบทบาทสำคัญในความเปลี่ยนแปลงด้านความมั่นคงของภูมิภาคอินโดแปซิฟิก

 

ซึ่งคำว่า Indo-Pacific เป็นคำที่กองทัพสหรัฐฯ นำมาใช้ในช่วงหลายปีหลังเพื่อมองภูมิภาคเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออก และโอเชียเนียรวมเข้าด้วยกันเป็นภูมิภาคเดียว เนื่องจากสหรัฐอเมริกามองว่าอนุภูมิภาคเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกัน รวมถึงเป็นศูนย์กลางการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก การเปลี่ยนแปลงด้านความมั่นคงใดๆ ในภูมิภาคนี้ย่อมส่งผลต่อโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยกองทัพสหรัฐฯ มีกองกำลังที่รับผิดชอบดูแลภูมิภาคนี้ก็คือหน่วยบัญชาการทหารสหรัฐภาคอินโดแปซิฟิกหรือ INDOPACOM ซึ่งเป็นหน่วยบัญชาการที่มีความสำคัญสูงสุดหน่วยหนึ่งของกองทัพสหรัฐฯ

 

ดังนั้นการประชุมของผู้นำกองทัพจาก 29 ประเทศที่อำเภอหัวหินจึงมีความสำคัญต่อมุมมองความมั่นคงของภูมิภาคนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งการที่ไทยได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพการประชุมที่สำคัญแบบนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่ไทยจะได้แสดงบทบาท รับทราบความคิดเห็น ไปจนถึงให้ข้อมูลด้านความมั่นคงในมุมมองของไทยต่อผู้นำกองทัพประเทศต่างๆ ที่เข้ามาร่วมประชุมที่ประเทศไทย โดยสำหรับสหรัฐอเมริกานั้น พลอากาศเอก แดน เคน ประธานเสนาธิการร่วมกองทัพสหรัฐ ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดของกองทัพสหรัฐฯ เข้าร่วมประชุมพร้อมกับพลเรือเอก ซามูเอล พาพาโร ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารสหรัฐภาคอินโดแปซิฟิก ส่วนเจ้าภาพฝ่ายไทยคือพลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด

 

ในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกานั้น พลเอก ทรงวิทย์ ย้ำว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา เชื่อมโยงผ่านข้อตกลงด้านการป้องกันประเทศร่วมกันมาเป็นเวลา 73 ปี รวมถึงข้อตกลงด้านสัมพันธไมตรีระหว่างกันที่ลงนามกันมากกว่า 193 ปี ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและไทยยังคงเข้มแข็ง และถ้าเราดูลึกลงไปในรายละเอียดอย่างการฝึก Cobra Gold นั้น ในทุกปีเราจะเพิ่มสิ่งใหม่ๆ อย่างเช่นการฝึกด้านอวกาศที่เราเพิ่มเข้ามาเมื่อสองปีก่อน ดังนั้น ดังนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศยังคงแน่นแฟ้น ซึ่งเราพยายามพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกันโดยเฉพาะการฝึกร่วมระหว่างกัน ซึ่งเราจะคำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างสองประเทศ”

 

“ผมย้ำว่าเมื่อมองดูในความสัมพันธ์ของไทยกับทุกประเทศ เราเชื่อมต่อกับสหรัฐอเมริกามากที่สุด เราแบ่งปันทั้งหลักนิยม การศึกษา การฝึก การปฏิบัติการ และการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน กองทัพไทยกับสหรัฐอเมริกามีการฝึกผสมกัน 400 การฝึกต่อปี ซึ่งหมายถึงมีมากกว่า 1 การฝึกในแต่ละวัน ดังนั้นมันเป็นความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งมาก และทั้งสองฝ่ายต่างมุ่งมั่นในการสร้างความสัมพันธ์นี้ แน่นอนว่านโยบายของรัฐบาลไทยคือการวางตัวเป็นกลาง ซึ่งอยู่นอกเหนือการตัดสินใจของฝ่ายทหารซึ่งผมเชื่อในหลักการที่ทหารต้องถูกควบคุมโดยพลเรือน ดังนั้นทหารจึงปฏิบัติตามนโยบายนี้”

 

Cobra Gold คือการฝึกผสมที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และแน่นอนว่าเป็นการฝึกผสมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอินโดแปซิฟิกซึ่งจัดขึ้นทุกปีในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ในประเทศไทย โดยมีเจ้าภาพหลักคือไทยและสหรัฐอเมริกา ร่วมกับอินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นการฝึกที่ทั้งไทยและสหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญมาก เนื่องจากในมุมมองของกองทัพสหรัฐฯ นั้น การมีการฝึกระดับนี้ในภูมิภาคคือโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์และซักซ้อมความเข้าใจร่วมกันระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศต่างๆ ซึ่งมีความจำเป็นถ้าต้องปฏิบัติงานร่วมกัน

 

พลเรือเอกพาพาโร กล่าวว่า “สหรัฐอเมริกามีความเชื่อมโยงที่เข้มแข็งกับภูมิภาคนี้ เราผลประโยชน์ที่ผสานกันอย่างชัดเจนกับชาวอเมริกันหลายๆ ภาคส่วนในภูมิภาคนี้ โดยสหรัฐอเมริกามีผลประโยชน์โดยตรงกับเอเชียแปซิฟิกมูลค่า 8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวันจากการค้าผ่านทะเลจีนใต้ ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของอาเซียนในฐานะเครื่องยนต์ทางการค้าและเครื่องยนต์ของการพัฒนาและความเจริญรุ่งเรือง ไม่ใช่แต่เฉพาะในภูมิภาคนี้แต่กับทั้งโลก”

 

“และสนธิสัญญาพันธมิตรของสหรัฐอเมริกากับประเทศอื่นทั้ง 6 สนธิสัญญา 5 สนธิสัญญานั้นลงนามกับประเทศในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก ซึ่งไทยคือหนึ่งในนั้น ดังนั้นภูมิภาคอินโดแปซิฟิกมีความสำคัญสูงสุดด้านความมั่นคงต่อสหรัฐอเมริกา”

 

“ดังนั้นการมีปฏิสัมพันธ์ของเราในภูมิภาคนี้ทั้งที่ผ่านการฝึกเช่น Cobra Gold ซึ่งเป็นหนึ่งในการฝึกที่ใหญ่ที่สุดของ INDOPACOM จากจำนวนชาติพันธมิตรที่เข้าร่วมและขีดความสามารถที่ใช้ ไปจนถึงความสัมพันธ์ในระดับทวิภาคนี้ทั้งในแง่ของความมั่นคงและการฝึก ซึ่งทั้งหมดนี้มีความสำคัญ และสำคัญขึ้นเรื่อยๆ เพราะเรากำลังอยู่ในศตวรรษของภูมิภาคอินโดแปซิฟิกในปัจจุบัน”

 

สำหรับสหรัฐอเมริกานั้นจะใช้คำสองคำในการเรียกประเทศที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วยคือคำว่า Partner หรือมิตรประเทศสำหรับประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตทั่วไป ส่วน Ally หรือพันธมิตร สหรัฐฯ จะใช้เรียกประเทศที่มีสนธิสัญญาการป้องกันประเทศหรือความมั่นคงระหว่างกัน โดยไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งเป็นผลมาจากเอกสารที่สำคัญที่สุดฉบับหนึ่งก็คือแถลงการณ์ถนัด-รัสก์ (Thanat–Rusk communiqué) ซึ่งลงนามกันในปี 1962 ท่ามกลางภาวะสงครามเย็นและการแผ่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ โดย ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย และ ดีน รัสก์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา

 

เอกสารนี้ระบุว่าสหรัฐอเมริกาสัญญาที่จะให้ความช่วยเหลือไทยถ้าไทยถูกรุกรานจากชาติอื่น การมอบสถานะพันธมิตรสำคัญนอกนาโต้หรือ Major Non-NATO Ally ให้กับไทยของสหรัฐอเมริกา และถูกตอกย้ำด้วยแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมว่าด้วยการเป็นพันธมิตรด้านการป้องกันประเทศระหว่างสหรัฐอเมริกาและไทยปี 2020 (Joint Vision Statement for the Thailand-United States Defense Alliance) ซึ่งเป็นการย้ำการเป็นพันธมิตรด้านการป้องกันประเทศของไทยและสหรัฐอเมริกา และล่าสุดคือแถลงการณ์ว่าด้วยความเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา (United States-Thailand Communiqué on Strategic Alliance and Partnership) ที่ย้ำการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกาในด้านต่างๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือด้านการป้องกันประเทศ ความมั่นคง และข่าวกรอง

 

พลเรือเอกพาพาโรกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกาว่า “ผมคิดว่าความสัมพันธ์ของไทยและสหรัฐอเมริกพัฒนาขึ้นทุกปี และพื้นที่แรกของการเป็นพันธมิตรของไทยและสหรัฐอเมริกาคือระหว่างบุคคลต่อบุคคลและการศึกษาด้านการทหาร ซึ่งไทยเป็นพันธมิตรทีมีบทบาทสำคัญมากในการศึกษาและการฝึกทางทหาร และบุคลากรของไทยก็มีโอกาสเพิ่มพูนประสบการณ์กับบุคลากรอเมริกันในระบบการศึกษาของอเมริกา รวมถึงแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างบุคลากรของทั้งสองประเทศ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงทักษะความสัมพันธ์ในระดับบุคคลและเครือข่ายการฝึกระหว่างกัน ทำให้ในช่วงเวลาคับขัน ความสัมพันธ์เหล่านี้จะถูกใช้ให้เกิดประโยชน์”

 

“ต่อมาคือโครงการความร่วมมือด้านความมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นอากาศยานไร้นักบินเพื่อการตรวจการณ์อย่าง RQ-21 Blackjack หรืออากาศยานตรวจการณ์ Do-228 หรือขีดความสามารถทางการรบอื่นๆ ที่สหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุนไทยผ่านการแบ่งปันเทคโนโลยี ซึ่งเหล่านี้มีความสำคัญมากในการปฏิบัติการร่วมกัน”

 

“และสุดท้ายคือโครงการการฝึกร่วมกัน ตัวอย่างเช่นการฝึก Cobra Gold ซึ่งไทยมีบทบาทสำคัญ รวมถึงการฝึก US-ASEAN Maritime Exercise ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งทั้งความสัมพันธ์ในระดับบุคคลต่อบุคคลไปจนถึงความร่วมมือด้านความมั่นคง เมื่อรวมกันในการฝึกระหว่างกัน จะสร้างขีดความสามารถในการปฏิบัติงานร่วมกัน ซึ่งเมื่อถึงช่วงเวลาวิกฤต ทั้งสองฝ่ายจะสามารถตอบสนองต่อพันธะกรณีที่มีต่อกัน ทำงานร่วมกันระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา และถ้าเราต้องปฏิบัติงานร่วมกันหลายประเทศเพื่อแก้ไขวิกฤตและรักษาภูมิภาคอินโดแปซิฟิกให้เสรีและเปิดกว้าง รวมถึงรักษาผลประโยชน์ของทุกฝ่าย”

 

และในมุมมองของพลเอกทรงวิทย์นั้น สหรัฐอเมริกาคือมหาอำนาจที่จะสนับสนุนกันได้ในภาวะวิกฤต “มีความสัมพันธ์และการฝึกร่วมกันหลายด้านที่เราอาจจะไม่เคยเปิดเผยมาก่อน เช่น ในเกาหลีใต้ หลังจากเหตุการณ์ในอิสราเอลที่เราต้องอพยพประชาชนชาวไทยกว่า 3 หมื่นคนออกจากอิสราเอล เราพบว่าเรามีแรงงานกว่า 2 แสนคนในเกาหลีใต้ ดังนั้นเราเริ่มส่งเจ้าหน้าที่ข่าวกรองและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการพิเศษไปยังเกาหลีใต้เพื่อทำความเข้าใจขอบเขตและขนาดของความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และเราต้องมีแผนเผชิญเหตุ ตรงจุดนี้เราใช้ช่องทางของสหรัฐอเมริกาเพื่อเตรียมแผนงานได้ ซึ่งไทยและสหรัฐอเมริกาจะได้ประโยชน์ร่วมกัน และไม่ใช่เฉพาะที่เกาหลีใต้เท่านั้น ยังมีที่ไต้หวัน กวม ฟิลิปปินส์ ซึ่งมันคือการที่เราพยายามดูแลประชาชนของเราแต่เราไม่มีขีดความสามารถที่จะเข้าถึงพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก แต่สหรัฐอเมริกามีขีดความสามารถนั้น ดังนั้นในเวลาที่เราจะต้องอพยพคนของเราออกจากพื้นที่ขัดแย้ง สหรัฐอเมริกาก็เป็นหนึ่งในพันธมิตรที่เข้มแข็งที่จะช่วยสนับสนุนเราได้”

 

และในฐานะที่ไทยเป็นส่วนหนึ่งของอาเซียน ความมั่นคงของอาเซียนย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อไทย พลเอก ทรงวิทย์ ปิดท้ายว่า “อาเซียนต้องสร้างสถาปัตยกรรมที่จะรองรับความสนใจจากทั้งโลก ในอินโดแปซิฟิก อาเซียนเป็นชุมชนที่ใหญ่ซึ่งประกอบด้วยคน 600 ล้านคนที่แตกต่างกัน แต่ที่นี่คือจุดศูนย์กลางของการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก ดังนั้นเราจึงสร้างกลไกที่เรียกว่า ADMM หรือ Asean Defense Ministerial Meeting Plus Plus หรือการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนบวกบวก แต่ผมคิดว่ามหาอำนาจทุกประเทศมียุทธศาสตร์ต่ออินโดแปซิฟิก เพราะเรามีการพูดคุยกันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับภูมิภาคอินโดแปซิฟิกนั้นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของทั้งโลก และไทยในฐานะส่วนหนึ่งของอาเซียนต้องปรับตัวด้วยการมองความมั่นคงไม่ใช่เฉพาะที่ชายแดนแต่ต้องมองทั้งภูมิภาค”

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising