สถานการณ์ลงทุนเปลี่ยนไปอย่างไร ทำไมหุ้นไทยอ่อนแอสุดอันดับ 2 ของโลก

ตลาดหุ้นไทยตลอด 4 วันทำการที่ผ่านมา เป็นภาพของการไหลลงต่อเนื่อง อาจจะมีสลับฟื้นตัวบ้างระหว่างวัน แต่ท้ายที่สุดดัชนี SET ร่วงลงมาถึง 50 จุด ทำจุดต่ำสุดในรอบ 1 เดือน

จากการจัดอันดับของ Investing.com เปรียบเทียบดัชนีหุ้นสำคัญทั่วโลกนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ดัชนี SET ของไทยถือเป็นตลาดที่อ่อนแอที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองเพียงแค่ดัชนี BIST100 ของตุรกี

ทำไมตลาดหุ้นไทยถึง Underperform มากขนาดนี้ และการไหลลงของดัชนีจะไปจบที่ตรงไหน?

ปัจจัยกดดันรุมเร้า

ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ มองว่า สาเหตุสำคัญประกอบไปด้วยหลายส่วน ไล่เรียงตั้งแต่เรื่องของ ‘มูลค่า’ (Valuation) ที่สูง ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการที่หุ้นไทยค่อนข้างแข็งแกร่งเมื่อปีก่อน และแทบจะไม่ปรับตัวลดลงสวนทางกับตลาดหุ้นโลก

ด้วยมูลค่าที่สูงจึงนำไปสู่การไหลออกของเงินลงทุนต่างชาติ ซึ่งสวนทางกับปีก่อนที่ไหลเข้ามา 2 แสนล้านบาท ทำให้ปีนี้ต่างชาติเบนเข็มไปยังตลาดที่มีอัปไซด์มากกว่า

ความแพงอาจไม่กระทบมากนักหากกำไรยังไม่แย่ลง แต่ช่วงที่ผ่านมาเราเห็นการปรับลดคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยในปีนี้ลงอย่างต่อเนื่อง

“เดิมทีเรามองกันว่ากำไรไตรมาส 4 ที่ผ่านมาน่าจะเป็นจุดแย่สุดไปแล้ว แต่ล่าสุดเรายังคงเห็นการปรับลดคาดการณ์กำไรต่อเนื่อง”

ด้วยกำไรที่ถูกปรับลดต่อเนื่องทำให้เราปรับลดจุดต่ำสุดกรณีเลวร้ายสุดของดัชนี SET ในปีนี้ลงมาอยู่ที่ 1,460 จุด อิงจาก P/E 12.6 เท่า และกำไรต่อหุ้นปีหน้าที่ 116 บาท

แต่ล่าสุดกำไรต่อหุ้นของ Consensus ยังคงไหลลงต่อมาอยู่ที่ 112 บาท ทำให้ดัชนี SET มีความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งยังไม่รวมความเสี่ยงจากการที่แบงก์ชาติอาจปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นไปสูงกว่า 1.75% ซึ่งจะกระทบต่อระดับดัชนีเป้าหมาย

“เดิมทีเราประเมินกันว่ากำไรไตรมาส 4 น่าจะต่ำสุดแล้ว หลังจากเห็นการตั้งสำรองของกลุ่มแบงก์สูงมาก แต่ตอนนี้แบงก์ไม่ใช่ปัญหา ส่วนกลุ่มที่มีปัญหาคือกลุ่มที่อิงกับเศรษฐกิจโลกและกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ทำให้กลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี หรือแม้แต่อิเล็กทรอนิกส์จะเป็นตัวถ่วงกำไร เช่นเดียวกับกลุ่มอาหารที่พึ่งพาการส่งออก”

หลังจากดัชนี SET ลดลงมาถึงระดับ 1,550 จุด หลังจากนี้รอจังหวะให้เห็นการฟื้นตัวช่วงสั้นซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นหลังการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ช่วงต้นเดือนพฤษภาคม โดยอาศัยจังหวะนั้นในการทยอยขายหุ้น ขณะเดียวกันไม่อยากให้นักลงทุนตั้งความคาดหวังกับผลการเลือกตั้งมากเกินไป และควรถือเงินสดไว้ส่วนหนึ่งก่อนการเลือกตั้ง

ผลการเลือกตั้งอาจเป็นปัจจัยพลิกเกม

ด้าน ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองว่า การเลือกตั้งที่รออยู่วันที่ 14 พฤษภาคม เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนยังคงรอดูความชัดเจน และรอประเมินนโยบายว่าจะกระทบกับหุ้นกลุ่มใดบ้าง

ระหว่างนี้เชื่อว่าดาวน์ไซด์ของหุ้นไทยจะมีมากกว่าอัปไซด์ เราอาจเห็นการแกว่งซิกแซกในทิศทางขาลง อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้ไปจนถึงช่วงเลือกตั้งหุ้นที่มีกำไรไตรมาสแรกออกมาดีอาจจะวิ่งขึ้นได้เฉพาะตัว

“กลยุทธ์ช่วงนี้ควรเน้นเก็งกำไรหุ้นที่ผลประกอบการดี และหมุนรอบดีกว่าการซื้อเพื่อถือ ส่วนแนวโน้มดัชนีหลังลงมาสู่ระดับ 1,550 จุด อาจเห็นการฟื้นตัวได้ แต่ถ้าพลิกหลุดลงไปต่ำกว่า 1,543 จุด อาจเห็นการลดลงไปใกล้ระดับ 1,500 จุด”

กำไรกลุ่มพลังงานเป็นความเสี่ยง

ปัจจุบันหุ้นกลุ่มพลังงานยังคงเป็นกลุ่มที่มีน้ำหนักมากที่สุดของตลาดหุ้นไทยประมาณ 20% ซึ่งแนวโน้มกำไรของกลุ่มพลังงานในไตรมาส โดยเฉพาะหุ้นที่อิงกับน้ำมันอาจไม่ดีนัก

จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี กล่าวว่า ที่ผ่านมาตลาดรับรู้ไปบางส่วนแล้วสำหรับกลุ่มพลังงาน หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลง ซึ่งจะกระทบกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมีเช่นกัน เช่นเดียวกับกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกกดดันจากตลาดมือถือที่อัตรากำไรต่ำลง เช่นเดียวกับสงครามราคาในตลาด EV

กลับกันกลุ่มหุ้นที่กำไรไตรมาสแรกน่าจะออกมาดีคือกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม โดยเฉพาะโรงแรมในประเทศ

“หากมองจากพื้นฐานเราอาจเห็นจุดต่ำสุดของรอบนี้ไม่ลงไปต่ำกว่า 1,520 จุด แต่ด้วยช่วงเวลาที่ความเสี่ยง Recession มากขึ้น ทำให้เงินทุนอาจไหลเข้าดอลลาร์ และอาจเห็นการเทขายเงินบาท ซึ่งจะกระทบต่อหุ้นไทยตามมา ทำให้หุ้นไทยมีความเสี่ยงมากขึ้น แต่หากราคาน้ำมันกลับมาฟื้นตัว เราอาจเห็นดัชนี SET ยืนเหนือ 1,520 จุด”

จุดอ่อนของไทยคือหุ้นอิเล็กทรอนิกส์ใหญ่ที่เคยพยายามจะวิ่งขึ้น แต่สุดท้ายร่วงกลับลงมา กระทบต่อ Sentiment ขณะเดียวกันต่างชาติยังคงขายออกทำให้ต้องพึ่งพิงเงินทุนในประเทศ ซึ่งก็ยังติดเรื่องของการเลือกตั้ง ทำให้การซื้อขายช่วงนี้จะเป็นการหมุนสลับกลุ่มไปเรื่อยๆ

บทความที่เกี่ยวข้อง

อ้างอิง: