บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส ระบุว่า Bloomberg เปรียบเทียบข้อมูลผลตอบแทนหุ้นทั่วโลก 92 ดัชนี พบว่า จากต้นปี 2568 ถึงปัจจุบัน (1 มกราคม – 5 กุมภาพันธ์ 2568) หุ้นไทย (SET Index) ปรับตัวลงมาแรงสุดในโลก -8.1%, รองลงมาคือ คูเวต -5.7%, เลบานอน -5.3%, มาเลเซีย -4.1% และฟิลิปปินส์ -3.6%
ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับ Investing.com ที่รายงานว่า ตั้งแต่ต้นปีนี้จนถึงปัจจุบัน SET Index ดิ่ง 9.87% ถือเป็นอัตราการปรับตัวลดลงมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลกด้วยเช่นกัน
ข้อมูลจาก Investing.com ที่รายงานว่า SET Index ช่วงต้นปี 2568 ถึงปัจจุบันมีอัตราการลดลงเป็นอันดับ 1 ของโลก
ส่วนหนึ่งที่กดดันให้ SET Index ลงมาแรงและเร็วคือแรงขายกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่เร่งตัวออกมา สะท้อนได้จากข้อมูลสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) คือ ยอด LTF ในเดือนมกราคม 2568 ลดลง 3.14 หมื่นล้านบาท หรือ 14.5% เหลือ 1.88 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบ 10 ปี โดยข้อมูลเฉลี่ย 10 ปีในเดือนมกราคมปีนี้ มูลค่าสินทรัพย์กองทุน (AUM) ลดลง 8 พันล้านบาท
โดยแรงขาย LTF ที่มาพร้อมกับมูลค่าซื้อขายที่เบาบางเฉลี่ย 3.8 หมื่นล้านบาท กดดันให้ SET Index ลงแรง
ขณะที่ความกังวลเรื่อง Trade War แม้จะยังคงมีอยู่และมีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้น หากมีการประกาศกำแพงภาษีระหว่างสหรัฐฯ กับยุโรป แต่ก็เชื่อว่าราคาหุ้นดูดซับประเด็นดังกล่าวไปแล้วระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในอีกมุมหนึ่งก็สร้างความหวังว่าจะเห็นทิศทางดอกเบี้ยปรับลดลง
โดยล่าสุดมีรายงานตัวเลข PMI ในภาคบริการสหรัฐฯ เดือนมกราคม 2568 ออกมาที่ 52.8 ต่ำกว่าคาดที่ 54.2 ด้วยสภาวการณ์เช่นนี้ ประกอบกับโอกาสที่จะเห็นเงินเฟ้อสูงขึ้นจากการดำเนินนโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้เกิดความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจปรับลดดอกเบี้ยง่ายขึ้น
ส่วนไทยวานนี้ (6 กุมภาพันธ์) ประกาศตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมกราคม 2568 ออกมาอยู่ที่ 1.3%YoY
ขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจคาดว่าจะยังดี ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาต่อเนื่อง สภาวะดังกล่าวอาจทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังคงดอกเบี้ยต่อไป
มีแรงซื้อต่างชาติพยุงหุ้นไทย
อย่างไรก็ตาม ต่างชาติยังเป็นผู้ที่คอยพยุงตลาดหุ้นไทย โดยปีนี้ (YTD) ภาพรวมต่างชาติซื้อหุ้นไทย 7 พันล้านบาท แม้ขายทางตรง 1.04 หมื่นล้านบาท แต่ซื้อผ่าน NVDR 1.7 หมื่นล้านบาท
ขณะที่วานนี้ SET Index ปิดที่ 1,262.07 จุด ลดลง 24.67 จุด (-1.92%) มูลค่าซื้อขาย 48,193.38 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 586 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันเป็นกลุ่มขายสุทธิหนักสุด 1,646 ล้านบาท
โดยตลาดหุ้นไทยถูกแรงกดดันหลักๆ มาจากแรงขาย DELTA กังวลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดเฮียริ่งปรับน้ำหนักคำนวณ Cap Weight หุ้นรายตัวไม่เกิน 10% ในดัชนี SET50 / SET100 อาจทำให้สถาบันกับต่างชาติปรับพอร์ต
อีกทั้งมีแรงขาย CPALL ออกมากดดันจากปัจจัยเฉพาะตัว จากความกังวลผลกระทบหากต้องเข้าร่วมทุน 7-Eleven ในญี่ปุ่น ประกอบกับภาพรวมยังคงไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาหนุน
