ไปรษณีย์ไทยโชว์ผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2568 เติบโต 227% จากบริการส่งพัสดุในประเทศโตแรง เดินหน้าอัปเกรดบริการสู่ดิจิทัลเต็มตัว แต่ยังหวั่นกำแพงภาษีสหรัฐฯ ฉุดเศรษฐกิจ มุ่งเกาะติดการเจรจาต่อรองภาษีที่อาจฉุดยอดขนส่งระหว่างประเทศ
ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไตรมาสแรกส่งสัญญาณบวกให้กับไปรษณีย์ไทย เพราะตลาดอีคอมเมิร์ซมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ถึงอย่างไรยังต้องติดตามการเจรจาต่อรองเรื่องกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลต่อการขนส่งระหว่างประเทศ โดยที่ผ่านมาได้มีการหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลการดำเนินงานและข้อยกเว้นภาษีนำเข้ากับสินค้าที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์กับการไปรษณีย์สหรัฐฯ ไปแล้ว
สำหรับไปรษณีย์ไทยได้วางกลยุทธ์รองรับความเสี่ยงให้กลุ่มธุรกิจขนส่งระหว่างประเทศ ด้วยการสร้างระบบนิเวศให้ SME ไทย ช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็ก SME และ e-Commerce ที่อาจได้รับผลกระทบด้านการส่งออก อาทิ การเสริมสร้างความร่วมมือกับสหภาพสากลไปรษณีย์ การไปรษณีย์สมาชิกอาเซียน ASEANPOST เพื่อปรับปรุงคุณภาพบริการไปรษณีย์ระหว่างประเทศให้ดี ทั้งการขนส่งทางอากาศ ทางภาคพื้น ทางราง และทางเรือ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ทั้งหมดจะช่วยให้ผู้ประกอบการมีทางเลือกในการขนส่งไปยังประเทศปลายทางต่างๆ ได้เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันการให้บริการส่งระหว่างประเทศของไปรษณีย์ไทย ครอบคลุม 205 ปลายทาง 193 ประเทศ สามารถเข้าถึงพื้นที่เฉพาะที่ผู้ให้บริการรายอื่นๆ อาจยังไม่สามารถเข้าถึงได้ เช่น พื้นที่เกาะ ภูเขา และปลายทางห่างไกล เช่น อียิปต์ เอสโตเนีย อาร์เจนตินา และประเทศที่เป็นเกาะเล็กๆ
เมื่อมาดูที่ภาพรวมของ ‘ไปรษณีย์ไทย’ ที่ผ่านมาจำนวนพัสดุเพิ่มขึ้น และทำรายได้เฉลี่ยต่อชิ้นสูงขึ้นจากปีที่แล้วถึง 10% ประกอบกับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและการค้าออนไลน์มีการขยายตัวทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ทำให้ตลาดอีคอมเมิร์ซมีความคึกคัก กลุ่มค้าปลีกยังมีแนวโน้มเติบโต
ส่งผลให้ผลประกอบการในไตรมาสแรกของปี 2568 มีรายได้รวมอยู่ที่ 5,945.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.83% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และสามารถทำกำไรสุทธิอยู่ที่ 534.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 227.72%
ถามว่าทำไมกำไรถึงพุ่งกระฉูดขนาดนี้ เนื่องจากไปรษณีย์ไทยสามารถบริหารจัดการต้นทุนและควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างหนัก แม้ที่ผ่านมาจะมีต้นทุนเพิ่มจากนโยบายการปรับเงินเดือนของข้าราชการ ซึ่งเราก็ต้องปรับตามมติครม.โดยต้นทุนในส่วนนี้เพิ่มขึ้น 200 ล้านบาท
ทั้งนี้ธุรกิจที่เติบโตเด่นชัด ได้แก่ กลุ่มบริการไปรษณีย์ในประเทศ มีรายได้เพิ่มขึ้น 20.17% กลุ่มบริการขนส่งและโลจิสติกส์ มีรายได้เพิ่มขึ้น 13.15% ขณะที่ปริมาณชิ้นงานไตรมาสที่ 1 ปี 2568 มีปริมาณเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันในปี 2567 ราว 7.48% ซึ่งบริการที่โดดเด่นยังคงเป็นบริการส่งด่วน EMS ที่เพิ่มขึ้น 5.94% จากมาตรฐานการให้บริการและมีโซลูชันที่สอดคล้องกับภาคธุรกิจ
อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ลูกค้าไปรษณีย์เพิ่มขึ้น มาจากความพยายามในการปรับตัว ในทุกๆ ปีได้ให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ ที่ไม่ใช่แค่เปลี่ยนโลโก้ ทำร้านสไตล์สวยๆ อย่างเดียว แต่ได้ปรับนิสัย การบริการ เน้นประสบการณ์ในการใช้บริการให้เข้มข้นขึ้นกว่าเดิม
“เราคิดว่ามาถูกทางแล้ว แต่ไม่ได้วางใจ ยังมีความไม่แน่นอนมหาศาล ทั้งเศรษฐกิจโลก การแข่งขันกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ไปรษณีย์ไทยมีหน้าที่สร้างความยืดหยุ่นในกระบวนการ ที่จะปรับเปลี่ยนให้ทันสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น” ดร.ดนันท์ ย้ำ
พร้อมกล่าวต่อไปว่าแม้รายได้และกำไรจะเติบโตขึ้นแต่ธุรกิจยังอยู่ท่ามกลางความเสี่ยงรอบด้าน จึงได้วางกลยุทธ์ในช่วงไตรมาสที่ 2-4 เน้นนำจุดแข็งมาสร้างแต้มต่อให้กับธุรกิจ เริ่มตั้งแต่ บริการส่งด่วน EMS ที่ยังคงเป็นหัวใจสำคัญสำหรับ B2C และ C2C โดยปัจจุบันส่วนลูกค้า B2C มีมากกว่า 60%
ตามด้วยบริการขนส่งสิ่งของขนาดใหญ่ สินค้าควบคุมอุณหภูมิ ยาและเวชภัณฑ์ นมแม่ สินค้าทางการเกษตร ปลาสวยงาม สินค้าอัตลักษณ์ไทย และสินค้าไลฟ์สไตล์ต่างๆ รวมถึงบริการทางการเงิน ที่ได้ร่วมกับพันธมิตรด้านการเงินในการเป็นตัวแทนธนาคาร (Banking Agent) ในการให้บริการด้านการเงินครบวงจร
ตลอดจนการให้บริการกลุ่มค้าปลีก เน้นดำเนินธุรกิจในรูปแบบ Omni-Channel และการขยายบริการรองรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ สนับสนุนภาคธุรกิจไทยที่มีศักยภาพก้าวสู่ตลาดโลกผ่านแพลตฟอร์ม eBay และ Amazon FBA ให้บริการคลังสินค้าสำหรับผู้ขายสินค้าบนเว็บไซต์ที่ต้องการขนส่งข้ามพรมแดน
อีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญในปีนี้ คือ กลุ่มธุรกิจ Post Next คือการเดินหน้าสู่ Information Logistics ในไตรมาส 3 จะมีการอัปเกรดฟีเจอร์ Digital Postbox หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความปลอดภัยและเป็นส่วนบุคคล Passport Tracking การติดตามสถานะพาสปอร์ต Prompt Pass เชื่อมข้อมูลภาครัฐเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการในการทำธุรกรรมต่างๆ ทางออนไลน์ด้วยความรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม สิ้นปี 2568 คาดว่าผลกำไรจะดีกว่านี้ แต่ต้องรอดูเพราะยังมีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้หลายอย่าง ยอมรับว่าห่วงเศรษฐกิจ ถ้าไม่มีการจับจ่ายใช้สอยก็จะมีผลต่อยอดการขนส่งด้วยเช่นกัน