ทางแยกของการเมืองไทย
การเมืองไทยในเวลานี้อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 ถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้งในฐานะ ‘วาระใหญ่’ ที่จะชี้ชะตาอนาคตทางการเมือง
แต่ขณะเดียวกันการ ยุบสภา ก็เดินหน้าเต็มอัตรา โดยมีพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลเป็นผู้ถือดุลอำนาจสำคัญ
คำถามที่หลายฝ่ายตั้งคือ หากเพื่อไทยเลือกยุบสภาในเวลานี้ การแก้รัฐธรรมนูญจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร
ยุบสภา vs แก้รัฐธรรมนูญ
ตามหลักการรัฐธรรมนูญ เมื่อมีการยุบสภา ร่างกฎหมายและร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งหมดที่ยังไม่แล้วเสร็จจะ ‘ตกไป’ แต่สามารถยืนยันว่าจะไปต่อหรือไม่หลังมีครม.ชุดใหม่ รวมถึงกระบวนการใดๆ ต้องเริ่มใหม่ในสภาชุดถัดไป ซึ่งแม้ไม่ใช่การ ‘ปิดประตูถาวร’ แต่ก็ถือเป็นการหยุดชะงัก และทำให้อนาคตของการแก้ไขขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้งรอบหน้าอย่างสิ้นเชิง
ปัจจุบัน ในสภายังมี ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ถูกเสนอแล้วกว่า 20 ฉบับ ครอบคลุมหลากหลายมาตรา แต่ร่างที่ถูกจับตาที่สุดคือ ร่างแก้มาตรา 256 ของพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทย ที่มุ่งเปิดทางให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ผ่านสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ซึ่งทั้งสองร่างกำลังรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ว่าจะต้องมีการทำประชามติกี่รอบ
อย่างไรก็ตาม หากมีการยุบสภา ร่างแก้ไขทั้งหมดจะต้องเริ่มต้นใหม่ในรัฐบาลหน้า และไม่มีหลักประกันว่าพรรคการเมืองที่จะได้เสียงข้างมากจะยังเดินหน้านโยบายนี้ต่อไป
ข้อตกลงทางการเมือง: ประชาชน + ภูมิใจไทย
เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2568 มีการประกาศข้อตกลงร่วมกันระหว่าง พรรคประชาชน และ พรรคภูมิใจไทย โดยมีสาระสำคัญว่า
1.นายกฯ คนใหม่ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือนนับแต่วันที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพื่อให้มีการเลือกตั้ง
2.หากศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าต้องทำประชามติก่อนแก้ไขมาตรา 256 รัฐบาลชุดใหม่ต้องเร่งจัดทำประชามติ และเดินหน้าจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญโดยเร็ว ไม่ช้าไปกว่าวันเลือกตั้งใหม่
3.หากศาลชี้ว่าไม่จำเป็นต้องทำประชามติก่อน พรรคประชาชนและภูมิใจไทยจะต้องเร่งผลักดันร่างแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญทันที
4.พรรคภูมิใจไทยจะไม่พยายามสร้างรัฐบาลเสียงข้างมากเอง เพื่อให้มั่นใจว่านายกฯ เฉพาะกาลจะยุบสภาภายใน 4 เดือนจริง
5.พรรคประชาชนจะไม่เข้าร่วมบริหาร แต่จะทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ตรวจสอบรัฐบาลชุดใหม่เต็มที่
ข้อตกลงนี้ถูกมองว่าเป็น Memorandum of Agreement (MOA) ที่เปิดทางไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญใหม่ แต่หากมีการยุบสภาก่อน ทุกอย่างใน MOA นี้จะสิ้นสุดลงโดยทันที
บทบาทของพรรคภูมิใจไทย
พรรคภูมิใจไทยถูกมองว่าเป็น ‘พรรคตัวกลาง’ (Kingmaker) ที่สามารถกำหนดทิศทางได้ว่าจะเข้าร่วมกับฝ่ายใด ซึ่งจะทำให้พรรคดังกล่าวกลายเป็นแกนนำรัฐบาล เช่น ร่วมกับพรรคเพื่อไทยก่อนหน้า
ท่าทีต่อรัฐธรรมนูญ: พรรคภูมิใจไทยยอมรับข้อเสนอของพรรคประชาชน สนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญใหม่ผ่านประชามติโดยสสร.
กลยุทธ์การเมือง: เลือกแนวทางประนีประนอม ไม่ขัดแย้งตรง ๆ กับฝ่ายใด เพื่อรักษาฐานเสียงในภูมิภาค
ความเสี่ยงจากการยุบสภา: หากผลเลือกตั้งรอบใหม่ไม่เอื้อ พรรคภูมิใจไทยอาจสูญเสียสถานะ ‘พรรคตัวกลาง’ ที่มีอำนาจต่อรองสูง และข้อตกลงกับพรรคประชาชนก็จะตกไปโดยทันที
บทบาทของพรรคประชาชน
พรรคประชาชนประกาศตัวชัดเจนว่า การแก้รัฐธรรมนูญคือวาระหลัก และพร้อมจะแลกด้วยการไม่มีตำแหน่งบริหารเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเรื่องดังกล่าว
จุดยืน: ต้องการให้มีรัฐธรรมนูญใหม่ที่สะท้อนเจตจำนงของประชาชน ผ่านการทำประชามติ
กลยุทธ์: สร้างพันธมิตรกับพรรคภูมิใจไทย เพื่อเสริมความแข็งแรงในการผลักดัน
ข้อจำกัด: หากมีการยุบสภา ข้อตกลงนี้จะสิ้นสุดโดยปริยาย พรรคอาจสูญเสียแรงส่งทางการเมือง และต้องเริ่มเกมใหม่หลังเลือกตั้ง
สุดทางของเพื่อไทย
ในฐานะแกนนำรัฐบาล หากมีการยุบสภาเกิดขึ้นวันนี้ ย้ำหากมีการยุบสภาเกิดขึ้นจริง
พรรคเพื่อไทยจะยังมีเวลาประมาณ 2 เดือน ก่อนการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สำคัญยิ่ง ทั้งในการที่จะแก้เกณฑ์อื่นๆทางการเมือง แต่ขณะเดียวกันก็หมายความว่าจะสามารถรักษาการเป็นนายกต่อไปได้อีกชั่วระยะเวลาหนึ่ง
แต่การจะตัดสินใจเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ แทบเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ เพราะกระบวนการซับซ้อนและต้องรอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
สมการสามขั้ว
เพื่อไทย: ถือกุญแจว่าจะยุบสภาหรือไม่ หากยุบ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งหมด รวมถึงร่างแก้ ม.256 จะตกไปชั่วคราว
ภูมิใจไทย: เสี่ยงเสียบทบาทตัวกลาง และต้องเริ่มเกมต่อรองใหม่ ในรัฐบาลหน้า
ประชาชน: สูญเสียการผลักดันวาระสำคัญ และโมเมนตัมที่สร้างมาอาจจะจะหายไปทันที
หากเกิดการยุบสภาในช่วงนี้ ผลที่ตามมาชัดเจนคือ การแก้รัฐธรรมนูญจะไม่เกิดขึ้นในรอบนี้ ไม่ใช่เพราะขาดเจตจำนงทางการเมือง แต่เพราะเวลาและเงื่อนไขไม่เอื้ออำนวย อีกทั้งยังหมายความว่า MOA ระหว่างภูมิใจไทยกับประชาชนก็จะถูกยกเลิก เบรกกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญที่เคยหวังไว้
เมื่อเข้าสู่การเลือกตั้งใหม่ สมดุลอำนาจในสภาอาจเปลี่ยนไป และไม่มีหลักประกันว่าพรรคการเมืองที่กุมเสียงข้างมากจะยังคงเดินหน้านโยบายแก้รัฐธรรมนูญเป็นวาระสำคัญ แม้พรรคประชาชนจะประกาศเดินหน้าเป็นนโยบายสำคัญ
ดังนั้น เกมการเมืองไทยวันนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของการยุบสภา แต่ยังเป็นเดิมพันครั้งใหญ่ต่ออนาคตของรัฐธรรมนูญ และต่อบทบาทของพรรคการเมืองทั้งสามขั้วที่จะถูกรีเซ็ตใหม่ทั้งหมด