ต่อจากนี้ไป หากใครคิดเอาตัวรอดคนเดียว คนนั้นอาจเป็นคนแรกที่ไม่รอด
การแพร่ระบาดของโควิดแสดงให้เห็นเด่นชัดแล้วว่า ยิ่งคุณเพิกเฉยต่อความเหลื่อมล้ำในสังคมมากเท่าไร ปัญหานั้นก็จะก่อตัวใหญ่ขึ้น แล้วกลับมาโจมตีคุณแรงกว่าเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราอาจลืมไปแล้วว่ายังมีคนอีกจำนวนมากเข้าไม่ถึงบริการด้านสาธารณสุข ได้ค่าแรงต่ำกว่าความเป็นจริง หรือแม้กระทั่งไม่มีเครื่องมือสื่อสารไว้รับข้อมูลและลงทะเบียนฉีดวัคซีน อาจกล่าวได้ว่าโควิดเป็นเหมือนพายุลูกใหญ่ที่พัดมากระทบให้เห็นปัญหาอันฝังลึกที่โดนปกคลุมมาเนิ่นนาน
นี่จึงเป็นโอกาสดีภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ค่อยดีนักสำหรับการชวนทุกคนลงไปพูดคุยในระดับนโยบาย คำใหญ่ที่ฟังดูแล้วไกลตัวน่าปวดหัว แต่จริงๆ แล้วส่งผลกระทบต่อทุกคนกันอย่างถ้วนหน้า นโยบายที่ดีจะช่วยส่งเสริมให้คุณภาพชีวิตของทุกคนดีขึ้น เพราะเราทุกคนในสังคมต่างเชื่อมโยงกันอย่างแยกจากกันไม่ได้ ปัญหาที่เกิดขึ้นในจุดหนึ่งจะส่งผลกระทบลุกลามเป็นโดมิโน อยู่ที่ว่าใช้เวลาช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง
Thailand Policy Lab หรือห้องปฏิบัติการนโยบายของประเทศไทย ที่เพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน โดยความร่วมมือกันระหว่างสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย หรือ UNDP เพื่อเปลี่ยนแปลงกระบวนการออกแบบนโยบายให้ตอบโจทย์ประชาชนมากที่สุด และพาประเทศไทยสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้ง 17 เป้าหมาย
Thailand Policy Lab มองว่า หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่ถูกจุดที่สุดคือ การปรับทักษะของนักวางแผนนโยบายทั่วประเทศ ที่เป็นคนกำหนดและวางแผนนโยบายที่มีผลต่อชีวิตทุกคนตั้งแต่ระดับท้องถิ่นถึงระดับชาติ จึงได้จัดงาน Policy Innovation (PIX) โดยนำนักออกแบบนโยบายตั้งแต่ระดับปฏิบัติการยันระดับผู้บริหารกว่า 800 คนทั่วประเทศ มาเรียนรู้และแลกเปลี่ยนทักษะใหม่ๆ กับแล็บทั่วโลกที่อยู่ในแวดวงการออกแบบนโยบายและสร้างนวัตกรรม โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง
เพื่อให้เกิดแรงกระเพื่อมและเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำนโยบายของไทยทั้งระบบ
ทางออกจากวิกฤตไม่ได้มีทางเดียว และต้องไม่ยึดติดกับวิธีการเดิมๆ
“ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นอย่างเรื่องการแพร่ระบาดของโควิดเป็นปัญหาระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งดูเหมือนว่าจะยังไม่มีจุดสิ้นสุด” Kate Sutton หัวหน้าศูนย์ Asia Pacific Regional Innovation Center – UNDP พูดให้เห็นปัญหาที่เผชิญหน้าเราทุกคน
“ยังมีเรื่องของภาวะโลกร้อนที่มีสถิติแตกต่างกันออกไปในแต่ละเมือง ซึ่งงานวิจัยได้คาดคะเนเอาไว้ว่า กว่า 50% ของเทคโนโลยีที่ใช้ในการดูแลเรื่องนี้จะไม่สามารถใช้ได้ อันเป็นผลกระทบมาจากวิกฤตมากมายที่เกิดขึ้นพร้อมกัน นี่คือความท้าทายของผู้วางนโยบาย เพราะส่งผลไปถึงประชากรทุกคน และมากกว่า 70% ของภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้นในทวีปเอเชีย”
สิ่งที่เธอนำเสนอจึงเป็นเหมือนประตูบานแรกของการแก้ปัญหา นั่นคือการแก้ไขไม่จำเป็นต้องมองในจุดเดียวหรือมองหาทางออกทางเดียว “แต่เราควรเน้นไปที่การคิดค้นหรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแก้ไขปัญหาเพื่อหาผลลัพธ์ที่ดีขึ้น โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมของยุคสมัยนี้เข้ามาใช้แก้ไขวิกฤตเร่งด่วน ทั้งเรื่องโควิด, การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, ความไม่เท่าเทียมกันในสังคม หรือการขยายตัวของเมือง” เธอขยายปัญหาที่ทับซ้อนกันให้ทุกคนได้เห็นอย่างชัดเจนมากขึ้น และเน้นย้ำว่า “เรากำลังเผชิญปัญหาที่ซับซ้อนและยากทั้งเชิงระบบและมนุษยชาติ และบางปัญหามีข้อแก้ไขที่ไม่ชัดเจน ฉะนั้นเราต้องไม่ยึดติดกับแนวทางการแก้ไขปัญหาแบบเดิมๆ ต้องมีชุดแนวคิดแบบใหม่อยู่ตลอด ควรนำสิ่งที่ทั้งเคยและไม่เคยเจอมาใช้จัดการปัญหา และต้องปรับตัวให้ตอบสนองทันกับปัญหาต่างๆ อย่างทันที”
Kate Sutton ยกตัวอย่างเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นโจทย์ต่อไปสำหรับประเทศไทยที่เม็ดเงินต่างชาติในภาคส่วนนี้ลดลงทันทีตั้งแต่โควิดมาเยือน เธอบอกว่า คนวางนโยบายต้องนำความคิดเห็นของทุกภาคส่วนมาช่วยกันผลักดันเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด “การร่างกฎหมายคือกระบวนการที่สำคัญที่ต้องให้คนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม” เธอย้ำ เช่นเดียวกับทาง TPLab ที่ได้ร่วมกับหลายภาคส่วนในการสร้าง Mindset การออกนโยบายให้สอดคล้องกับสังคม เพื่อหาทางออกใหม่ๆ ที่ประชาชนได้ประโยชน์มากที่สุด เธอบอกกับนักออกแบบนโยบายทุกคนว่า “การจัดการต้องมีแรงจูงใจในการทำงานและการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ให้ไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยค้นหานวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการทำงานตลอดเวลา”
อนาคตคือสิ่งที่เริ่มตั้งแต่ตอนนี้
ปัจจัยอย่างหนึ่งที่สามารถลดความเสี่ยงของวิกฤตได้คือ รัฐที่มีวิสัยอันกว้างไกล โดยรัฐสมัยใหม่ควรมีเครื่องมือรวบรวมข้อมูล เพื่อประเมินและหาแผนรองรับเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน Joshua Polchar นักสังเกตการณ์จากหน่วยงานนวัตกรรม OECD ได้นำเสนอกระบวนการ Strategic Foresight in Policy-Making หรือการคาดการณ์อนาคตเชิงยุทธศาสตร์ในการกำหนดนโยบาย เขายกตัวอย่างว่า “อนาคตเปรียบเสมือนแผนภาพรูปทรงกรวยที่แสดงให้เห็นถึงโลกปัจจุบันและโลกอนาคตที่ถูกแบ่งแยกออกมาจากกัน ตัวอย่างที่ชัดเจนสุดคือ การฉีดวัคซีนที่หลายคนไม่อยากทำแต่ก็ต้องไปฉีด เพราะส่งผลดีต่ออนาคต เหมือนกับการออกกำลังกายที่หลายคนไม่ชอบแต่ก็ต้องทำ เพราะรู้ว่ามันส่งผลดีต่อร่างกาย” เขาอธิบายต่อว่า “เคยมีการพูดถึงโรคระบาดใหญ่มาตั้งแต่ปี 2017 แล้ว ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การคาดการณ์อนาคต แต่ความท้าทายคือ การใช้ข้อมูลที่เคยถูกพูดถึงมาปรับเปลี่ยนและดำเนินการตามนโยบายที่เป็นรูปธรรม”
Joshua Polchar เสนอว่า นวัตกรรมสำหรับอนาคตต้องปรับเปลี่ยนได้ง่าย เพราะโลกเรามีแต่ความไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ อุปสรรคก็คือการหาว่าความท้าทายอยู่ตรงไหนและการมองหาโอกาสที่คาดคะเนไว้ในปัจจุบัน เขาเชื่อว่า โครงการที่ช่วยให้นวัตกรรมที่คาดการณ์ไว้เกิดขึ้น “จะลดช่องว่างของผลกระทบ บางปัญหาอาจไม่ได้เกิดขึ้นในเร็ววัน แต่เราจำเป็นต้องนำมาพิจารณาและศึกษาในระยะยาว เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อวันข้างหน้า เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจะเป็นอนาคตที่กำลังเกิดขึ้น วิธีทำความเข้าใจปัญหาคือ การที่มนุษย์ได้มีส่วนร่วมกับอนาคตด้วยวิธีต่างๆ” เขาเชื่อว่า เทคโนโลยีแต่ละประเภทมีขอบเขตของตัวเอง และอาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไป
คาดการณ์อนาคตเชิงยุทธศาสตร์คือ ทักษะที่สำคัญขององค์กรในการรับรู้และเข้าใจถึงเหตุผลต่างๆ ของสิ่งที่ทำอยู่ในปัจจุบัน เพราะการจำลองรูปแบบต้องใช้องค์ความรู้มากมายในการสร้างคุณค่าสำหรับอนาคต เขาแนะนำว่า “หนึ่งวิธีที่ทุกคนเอามาปรับใช้ได้ก็คือ การสร้างสถานการณ์สมมติขึ้นมา เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานให้สอดคล้องกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
“กระบวนการแบบนี้องค์กรของเราเคยทำร่วมกับรัฐบาลของประเทศสโลวีเนียเกี่ยวกับอนาคตของภาครัฐที่จะเชื่อมโยงการผลิตในท้องถิ่น และการปกครองระบอบประชาธิปไตยรูปแบบใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของพลเมือง โดยผ่านกระบวนการสร้างต้นแบบ และเชื่อมช่องว่างของผลกระทบผ่านการทดลองต่างๆ เพราะการเอาอนาคตเข้ามาอยู่ในมือจะนำไปสู่ความสำเร็จที่ดีที่สุดในอนาคตจริงๆ”
ทำไมการทำใบขับขี่ไม่ง่ายเหมือนสมัคร Facebook?
ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสร้ายตลอด 2 ปีที่ผ่านมา การใช้เครื่องมือดิจิทัลเป็นตัวแปรสำคัญอย่างมากต่อโลกในอนาคต เช่น การทำงานจากที่บ้าน หรือการเรียนออนไลน์ แต่ใช่ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะหมายถึงอนาคตอันสดใส Calum Handforth ผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลและเมืองอัจฉริยะประจำ UNDP Global Center ตั้งคำถามง่ายๆ กับนักออกแบบนโยบายว่า ถ้าโลกออนไลน์ดีที่สุด “ทำไมการทำใบขับขี่ไม่ง่ายเหมือนสมัคร Facebook ล่ะ?”
ก่อนที่ Calum Handforth จะเข้ามารับตำแหน่งนี้ เขาเคยสร้างนวัตกรรมชิ้นสำคัญเอาไว้นั่นก็คือ ‘แชตบอต’ สำหรับพัฒนาความรู้ด้านสุขภาพในหมู่วัยรุ่นเอเชียแปซิฟิกและซับซาฮาราแอฟริกา ที่ได้เห็นข้อมูลการเดินทางของคนแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยให้เข้าใจชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ใช้ได้ง่ายขึ้น และกลายเป็นวิธีวัดความสำเร็จที่เป็นธรรมชาติและมีประโยชน์สำหรับโลกดิจิทัล ในขณะที่ UNDP ก็ใช้นวัตกรรมที่เรียกว่า PPI ซึ่งเป็นชุดคำถาม 10 ข้อสำหรับการวัดดัชนีการเติบโตของความยากจน ที่ช่วยประเมินและวัดภูมิหลังทางประชากรศาสตร์ในสังคมได้อย่างรวดเร็ว แทนที่จะสำรวจแบบเดิม ซึ่งอาจใช้เวลามากกว่าถึง 6-7 ชั่วโมง
Calum Handforth กล่าวว่า ความท้าทายของการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยออกแบบนโยบายคือ “การเลือกใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ซึ่งยากและมีความเสี่ยง เพราะเล่นกับการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมของคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งต่างจากโลกออฟไลน์ ดังนั้นต้องหาตัวชี้วัดให้ดีว่าอะไรคือนโยบายที่ออกแบบได้ถูกต้อง” เขาแนะนำว่า “ควรเน้นไปในช่องทางที่พวกเขาใช้งานจริง เช่นเดียวกับบริการสาธารณะที่เน้นถึงความต้องการและความเป็นจริงของประชาชน หากคนไม่สามารถเข้าถึงแม้กระทั่งแชตบอตได้ก็ไม่มีประโยชน์ต่อการออกแบบนโยบาย ซึ่งตรงนี้ภาครัฐมีส่วนสำคัญในการพัฒนา สามารถสนับสนุนได้ทั้งเรื่องค่าใช้จ่าย ความรู้ ความพร้อมทางภาษา ความรู้เท่าทันดิจิทัล รวมทั้งมีแหล่งจัดเก็บข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ และควรนำมาใช้ให้ถูกวิธี จึงจะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาสังคม”
อีกประเด็นสำคัญที่เขาอยากเน้นย้ำคือ เมื่อรัฐบาลนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ในหลายภาคส่วนแล้ว ไม่ได้หมายความว่าต้องเอาเข้ามาแทนที่งานสาธารณสุขแบบออฟไลน์หรือความเฉลียวฉลาดของมนุษย์ เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเพียงส่วนเสริมและตัวขยาย รัฐจึงต้องพิจารณาบริบทของงานบริการ เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดต่อสังคมและประชาชน
ใช้โซเชียลมีเดียที่มีให้เกิดประโยชน์ สร้างเป็นเครือข่ายให้ประชาชนออกแบบนโยบายร่วมกัน
อีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจของการออกแบบนโยบาย โดยเน้นประชาชนเป็นศูนย์กลางคือ ศูนย์นวัตกรรม Pulse Lab Jakarta จากประเทศอินโดนีเซีย Dwayne Carruthers ผู้จัดการด้านการสื่อสาร บอกว่า พวกเขาได้นำโซเชียลมีเดียมาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์และทำความเข้าใจความรู้สึกของพลเมืองที่มีต่อนโยบายและระบบโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ ซึ่งปีที่แล้ว Pulse Lab Jakarta ได้สร้างระบบตรวจสอบคุณภาพอากาศภายในชุมชน เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษที่เกิดขึ้น ความสำคัญอยู่ตรงที่ “มีคนในชุมชนมากมายเข้ามามีส่วนร่วมกับการใช้ System Mapping ที่ใช้เซ็นเซอร์อันแม่นยำจับคุณภาพของอากาศ พวกเขาคือผู้ได้รับผลประโยชน์จากระบบนี้ ซึ่งหมายถึงมนุษย์คือปัจจัยสำคัญและเป็นศูนย์กลางของความช่วยเหลือทั้งหมด”
เช่นเดียวกับการจัดการปัญหาโควิดในจังหวัดชวา โดย Pulse Lab Jakarta ได้เลือกใช้การรวบรวมข้อมูลแบบดั้งเดิมและแบบใหม่เข้าด้วยกัน และมองหาช่องว่างของข้อมูลว่ามีประเภทไหนอีกบ้างที่จะเติมเต็มลงไปให้สมบูรณ์มากที่สุด เพื่อระบุจุดที่อาจเกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรค และดูว่าจุดไหนมีการระบาดน้อยที่สุด ประชาชนสามารถโต้ตอบกับระบบที่ทีมงานได้เซ็ตเอาไว้ พวกเขาจะได้รับข้อมูลจากผู้ที่อยู่ในจุดเกิดเหตุอย่างรวดเร็ว และเป็นประโยชน์ต่อการช่วยเหลือผู้คน
Dwayne Carruthers บอกว่า สิ่งที่เขาและทีมได้เรียนรู้ก็คือ การสร้างต้นแบบและสร้างเครื่องมือใหม่ๆ ต้องแก้ไขปัญหาโดยส่งผลกระทบน้อยที่สุด แต่สร้างคุณค่ากับผู้คนมหาศาล นักออกแบบนโยบายหรือสร้างสรรค์นวัตกรรม “ต้องแน่ใจว่าทุกการเปลี่ยนแปลงจะมีความต้องการของผู้ใช้ได้จริงๆ และสอดคล้องกับเงื่อนไขของผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียที่แตกต่างกันในสังคมที่พวกเขาต้องอยู่ร่วมกัน ฉะนั้นประดิษฐกรรมทางสังคมรูปแบบใหม่ๆ ควรคำนึงถึงเรื่ององค์ประกอบด้านจริยธรรม เพื่อการพัฒนาแบบองค์รวม ถึงจะกลายเป็นนโยบายที่มีประสิทธิภาพและเป็นแนวทางใหม่ในการแก้ไขปัญหาของสังคมได้”
สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบนโยบายทั้งสี่คนได้เน้นย้ำนั้นมีจุดร่วมเดียวกันก็คือ ‘ประชาชน’ หรือผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากนโยบายแต่ละฉบับที่ออกมา ไม่ว่าโลกจะเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วหรือมีวิทยาการล้ำสมัยขนาดไหน การพูดคุยเพื่อสร้างความเข้าใจหรือออกแบบเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ ก็ยังคงเป็นสาระสำคัญของงานนโยบายอยู่ดี
ประชาชนในประเทศสามารถมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์นวัตกรรมหรือออกแบบนโยบายได้ เพื่อให้ได้นโยบายที่ตอบโจทย์และตรงจุด