วันนี้ (10 ตุลาคม) ตั้งแต่ช่วงบ่ายที่ผ่านมา อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมคณะลงพื้นที่ติดตามการช่วยเหลือและให้กำลังใจประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วมใน 3 จังหวัด ประกอบด้วย พิจิตร, ชัยนาท และสิงห์บุรี
อนุทินกล่าวว่า รัฐบาลจะไม่เพิกเฉยและไม่ละเลยความเดือดร้อนของประชาชน โดยภายในสัปดาห์หน้าจะอนุมัติเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วม พร้อมมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการโอนเงินเข้าบัญชีประชาชนโดยเร็ว
นายกรัฐมนตรีกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ใช้ทุกกลไกที่มีอยู่ เพื่อให้ประชาชนทุกครัวเรือนได้ลงทะเบียนรับสิทธิ์ครบถ้วน พร้อมสั่งให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ลงพื้นที่สำรวจและช่วยประชาชนลงทะเบียนทั้งโครงการเยียวยาและโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เพื่อให้เงินช่วยเหลือถึงมือโดยเร็วที่สุด
อนุทินกล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลได้ขยายการช่วยเหลือด้านค่าครองชีพ โดยให้ประชาชนที่เข้าร่วมคนละครึ่งพลัส โดยรัฐบาลร่วมจ่ายครึ่งหนึ่ง เพื่อกระตุ้นการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ และยังเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อให้ประชาชนมีรายได้เสริมในช่วงสิ้นปี พร้อมกล่าวว่า เงินเหล่านี้ไม่ใช่การแจก แต่คือการหมุนเศรษฐกิจให้พี่น้องได้ลืมตาอ้าปาก
นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณหน่วยราชการ ทหาร ตำรวจ และอาสาสมัครทุกฝ่ายที่ช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์น้ำท่วม พร้อมเน้นว่า หน้าที่ของรัฐบาลคือทำให้ประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุด และเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย จะเร่งฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบระบายน้ำ ถนน และพื้นที่บึงสีไฟ เพื่อป้องกันเหตุซ้ำในอนาคต
“เมืองไทยไม่มีคนจน มีแต่คนมีน้ำใจ รัฐบาลนี้จะทำทุกวิถีทางให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิ์ทุกบาททุกสตางค์ ทั้งเงินเยียวยาและโครงการคนละครึ่งพลัส เพราะทุกบาทคือความหวังของประชาชน”
จากนั้นนายกรัฐมนตรีเดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปยังจังหวัดชัยนาท ที่อาคารศูนย์เรียนรู้และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว เขื่อนเจ้าพระยา สำนักงานชลประทานที่ 12 อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท เพื่อเป็นประธานการประชุมสรุปสถานการณ์น้ำและแผนบรรเทาอุทกภัยลุ่มน้ำเจ้าพระยา
นายกรัฐมนตรีกล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้ตนเองได้เดินทางไปไล่ตรวจสถานการณ์น้ำท่วม ตั้งแต่จังหวัดพิจิตร ซึ่งสถานการณ์ค่อนข้างหนักหนาสาหัส โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอสะพานหินที่ตนเองได้ไปลงพื้นที่มา ซึ่งได้เห็นถึงปริมาณน้ำจำนวนมาก ที่เราต้องเร่งบริหารจัดการให้ได้ ซึ่งขณะนี้เข้าสู่ปลายฤดูฝน คาดว่าหากไม่มีปริมาณฝนเพิ่มขึ้นมาอีก สถานการณ์จะลดระดับความรุนแรงลงได้ภายในระยะเวลาสองถึงสามสัปดาห์
แต่สำหรับชาวบ้านนั้นที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ แค่ 1 ชั่วโมงก็ถือว่า สร้างความลำบากอย่างมากแล้ว จึงขอฝากให้ข้าราชการที่เกี่ยวข้องได้คำนึงถึงความจำเป็นเร่งด่วน และหาวิธีในการที่จะแก้ไขปัญหาคลายความทุกข์ความลำบากของประชาชนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทั้งนี้ในความเป็นหัวหน้ารัฐบาลตนเองขอมอบกรอบการทำงานให้ทุกคนเป็นกรอบที่กว้างให้พวกท่านได้ปฏิบัติตามภารกิจที่ตนเองรับผิดชอบ ส่วนเรื่องของการสนับสนุนนั้นหากต้องการการสนับสนุนด้านใด ที่รัฐบาลจะต้องเป็นผู้ดำเนินการตนเองพร้อมที่จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่
อนุทินกล่าวต่อว่า ตนเคยมาในพื้นที่นี้ ซึ่งเดินทางมาพร้อมกับ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้นมาในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เดินทางมาด้วย แต่ในขณะนั้นเรื่องของการสั่งงานอาจจะไม่ใช่หน้าที่โดยตรง แต่ในเมื่อตนได้กลับมาบริหาร ก็ต้องทำอย่างสุดความสามารถ และมีหน้าที่โดยตรงด้วย
ทั้งนี้ เมื่อเป็นความเดือดร้อนของประชาชน เราไม่ได้มองว่า เป็นรัฐบาลผสม แต่เป็นรัฐบาลเดียวที่ต้องให้การดูแลประชาชน ตนมั่นใจว่า จะเปลี่ยนไปจึงขอความร่วมมือกับฝ่ายข้าราชการประจำ ขอให้ดำเนินการในการบูรณาการความร่วมมือทั้งหลาย โดยเอาเป้าหมายว่า น้ำจะต้องถูกระบายโดยเร็วเป็นตัวตั้ง และเรื่องการช่วยเหลือเยียวยาก็ต้องเร่งดำเนินการ ซึ่งรัฐบาล 4 เดือนทำได้เท่านี้ก็โอเคแล้ว
“ไม่ว่าหลังเลือกตั้งจะเป็นรัฐบาลไหนเข้ามาก็จะต้องวางรากฐานให้สามารถสานต่อได้ไม่มีความคิดว่า เป็นเรื่องการเมืองใครทำแล้วจะได้คะแนนหรือไม่ได้คะแนน ซึ่งตรงนี้เป็นวิธีการทำงานของตน ไม่เคยคิดว่า ใครจะได้หน้าได้ตา หรือได้คะแนน เพราะการได้มาจากความเดือดร้อนของประชาชน แต่ปัญหาไม่จบไม่สิ้น ตนจึงขอทำให้จบภายในปีเดียว และความเดือดร้อนของประชาชนหายไป”
อนุทิน กล่าวต่อว่า ปีที่แล้วใช้เงินเกือบ 30,000 ล้านบาท ในการเยียวยาประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม ในความจริงสามารถใช้ได้เป็น 6 ปี และใน 3 ปีที่ผ่านมาตนเซ็นเงินเยียวยาไปแล้ว 60,000 ล้านบาท เกือบ 70,000 ล้านบาท แต่กลับหายไปเลยในปีเดียว
ดังนั้นควรผันเงินเหล่านี้มาทำให้เป็นถาวรวัตถุที่สามารถบริหารจัดการระบบการระบายน้ำ และบริหารทรัพยากรน้ำให้ดีที่สุดสามารถกักเก็บหรือไหลผ่านตรงไหนได้ เพราะทำถนนให้รถวิ่งมาเยอะแล้วตอนนี้อาจจะทำทางให้น้ำไหลบ้าง โดยต้องแก้ไขปัญหาทั้งหลายอย่างเป็นระบบ
อนุทิน กล่าวว่า ปีนี้ต้องขอโทษประชาชน ตนได้สอบถามหลายคนไม่ได้ท่วมแค่หน้าแข้ง แต่ท่วมถึงหน้าอก บางคนถึงคอ และท่วมมาแล้ว 3-4 เดือน มอบหมายให้ภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พิจารณาเงินเยียวยาว่า หากท่วมเกิน 1 เดือน 2 เดือน จะมีวิธีช่วยประชาชนอย่างไรบ้าง เราเห็นประชาชนเดือดร้อนไปแบบนี้ทุกปีไม่ได้ ซึ่งแม้จะมีการเพิ่มเงินเยียวยาเชื่อว่าหากประชาชนเลือกได้ก็คงเลือกขอไม่โดนน้ำท่วม สิ่งเหล่านี้รัฐบาลจึงต้องไปเร่งหาวิธีการในเรื่องการแก้ปัญหาการระบายน้ำโดยเร็ว
นายกรัฐมนตรีย้ำว่า ขอให้ทุกหน่วยงานมองความเดือดร้อนของประชาชนเป็นหลัก ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดไปดูเรื่องการอนุมัติเรื่องต่างๆ ที่เอกสารล่าช้าหรือหากเกินอำนาจขอให้รายงานมาที่ปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเรื่องปัญหาเอกสารล่าช้า ตนคิดว่ายังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกหลายเรื่องที่ทำให้เรื่องล่าช้า ซึ่งก็จะเกิดปัญหาแบบโดมิโนที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อประชาชน ดังนั้นจึงขอให้ทำงานแบบบูรณาการ มีตรงไหนที่ครอบคลุมได้ก่อนให้ทำ และตนขอให้สัญญาว่าหากมีตรงไหนออกสำรองไปก่อน จะได้คืนเพราะตนกำกับดูแลงบกลางอยู่
จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ติดตามสถานการณ์น้ำบริเวณประตูเขื่อนระบายน้ำ พร้อมให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเพิ่มเติมถึงการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำ ลุ่มน้ำเจ้าพระยา จะให้ความมั่นใจได้ว่า สถานการณ์จะไม่ซ้ำรอยปี 2554 ว่า ปริมาณน้ำน้อยกว่าปี 2554 เราจะเร่งบริหารจัดการสถานการณ์น้ำให้ดีที่สุด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจได้หรือไม่ว่า คนกรุงเทพฯจะไม่เผชิญน้ำท่วม เหมือนในปี 2554 อนุทินกล่าวว่า ถ้าไม่มีฝนหนักมาเติม ก็มั่นใจ อีก 2-3 อาทิตย์จะเข้าสู่ปลายฤดูฝน ปริมาณน้ำทั่วประเทศ น่าจะได้ระบายคล่องตัวทำให้การท่วมขังน้อยลง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า พื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี อ่างทองที่เป็นพื้นที่รับน้ำ ทุกปีสถานการณ์น่าจะคลี่คลายในกี่สัปดาห์ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า น่าจะประมาณ 2-3 สัปดาห์ ส่วนใหญ่สิ้นเดือนตุลาคมเข้าเดือนพฤศจิกายน สถานการณ์น่าจะดีขึ้น แต่ตอนนี้เราคิดไปไกลกว่านั้นต้องคิดถึงเรื่องของการบริหารจัดการในระยะยาวด้วย ทุกปีเราเน้นเรื่องของการเยียวยา ใช้เงินปีละประมาณ 2 หมื่นกว่าล้านบาท ถ้าเราใช้เงินก้อนนี้มาเป็นเรื่องของการลงทุน ระบบสาธารณูปโภคระบบเขื่อน ระบบ เส้นทางน้ำระบบฝาย เรื่องการบริหารจัดการน้ำ เราน่าจะ ทำให้เงินงบประมาณเหล่านี้เกิดประโยชน์มากขึ้น
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงแนวโน้มในการสร้างเขื่อนเพิ่มนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สทนช. ต้องไปศึกษาและหาวิธีที่จะทำให้สภาพน้ำท่วมที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีคลี่คลาย ไม่เช่นนั้นทุกปีก็จะต้องเกิดปัญหา แบบนี้แล้วกลับไปก็ต้องหาตังค์มาจ่าย
“อนุมัติงบกลางชาวบ้าน ได้ 9,000 บาท ถามว่าวันนี้ต่อให้เขาแสนบาทเขาก็ไม่เอาหรอกเงิน ขอให้น้ำไม่ท่วมดีกว่า เราก็ต้องหาวิธีที่จะทำให้น้ำไม่ท่วมไม่ให้เขาเดือดร้อน เงินใช้พอๆกันเลย อย่างคลองบางบาล บางไทร 20,000 กว่าล้าน เท่ากัน แต่ 5-6 ปีกว่าจะเสร็จเท่ากับปี หนึ่งงบประมาณ4-5 พันล้าน แต่นี่ 20,000 ล้านเยียวยาปีหนึ่งให้ชาวบ้านแล้ว และยังไม่มีโครงการอะไรที่จะไป ทำในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภคเลย” อนุทิน กล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จากการลงพื้นที่ทุกแห่งประเทศเกี่ยวข้องปัญหาใหญ่ที่ทำให้การบริหารจัดการน้ำเกิดปัญหาคืออะไร อนุทินกล่าวว่า มีหลายปัญหาที่ดินของชาวบ้านด้วย มาอยู่ต่างจังหวัดจะไปเวนคืนที่ของประชาชนเป็นเกษตรกรทำไร่ทำนา เป็นเรื่องที่อธิบายยาก ต้องหาวิธีในการ หาเทคโนโลยีใหม่ๆ น้ำก็เช่นกันเห็นแบบนี้ อีก 6 เดือนก็ต้องมาแก้ปัญหาภัยแล้งเป็นไปได้อย่างไรเรื่องน้ำทำอย่างไร ตนให้นโยบายทาง สทนช. ไปว่าทำอย่างไรได้บ้างให้ช่วยกันคิด ล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานแนวพื้นฐานมาแล้วเรื่องแก้มลิง แต่ด้วยสภาพนิเวศที่เปลี่ยนไปแก้มลิงที่มีอยู่อาจไม่พอต้องทำเพิ่มได้หรือไม่ หลีกเลี่ยงการเวนคืนที่ของประชาชน ที่ของรัฐที่ของหลวงที่ราชพัสดุ ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ใช้เป็นที่เก็บกักน้ำได้หรือไม่ ต้องคิดต่อไป เอาไว้หลังเลือกตั้งก่อนค่อยมาคิด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า 4 เดือนจะวางรากฐานได้หรือไม่ อนุทินกล่าวว่า ทำได้อยู่แล้ว โดยให้ สทนช. ใช้สำนักทรัพยากรน้ำเป็นเจ้าภาพหลัก ก่อนกระจายงานไปหน่วยอื่น พร้อมเผยว่า “ปีหนึ่งใช้งบ 2–3 หมื่นล้านก็หมดไป ครั้งนี้ 30,000 ล้านบาทหมดในเดือนเดียว จึงต้องมองว่าเงินที่มีจะลงทุนอะไรได้บ้างในระยะยาว นี่แหละคือการวางรากฐาน”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่า การเดินทางมาที่จังหวัดชัยนาท นอกจากที่จะมาลงพื้นที่ดูเขื่อนแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว จะชักชวน อนุชานาคาศัย สส. ชัยนาท พรรครวมไทยสร้างชาติ มาอยู่พรรคภูมิใจไทยด้วยหรือไม่ อนุทินกล่าวว่า สำหรับตนนั้นนอกจากภรรยาแล้ว ตนก็รักพี่แฮ้งค์ (นายอนุชา) เป็นที่สอง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า นายกรัฐมนตรีได้มีการเชิญชวนอนุชามาร่วมงานพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ อนุทินกล่าวว่า ผมตื๊อเท่านั้นที่จะครองโลก
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีอีสานโพล ที่คะแนนความนิยมนำมาเป็นอันดับหนึ่งในนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “ส่วนนั้นดีใจได้แค่คืนเดียว แต่ก็ต้องทำงานยิ่งมาแบบนี้ ก็ต้องยิ่งทำให้ความคาดหวังของประชาชนให้ไม่สูญเปล่า ดีใจครับดีใจ จากบ๊วยสู่ที่หนึ่ง เป็นใครไม่ดีใจล่ะ”
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการทำโพลของพรรคภูมิใจไทย โดยได้ชี้ไปที่ สส. ของพรรคภูมิใจไทย โดยระบุว่า นี่คือโพลของผม โพลของพวกเราคือการลงพื้นที่ การเข้าใจชาวบ้าน ไม่ต้องทำโพลหรอก ขอให้ประชาชนมั่นใจในตัวเรา ว่าเราทุ่มเทให้เขาอย่างเต็มที่
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งกล่าวถึงพรรคภูมิใจไทย แม้จะภูมิใจดูดไป แต่ก็แพ้พรรคก้าวไกล อนุทิน ถามกลับว่า “รอบที่แล้วดูดใคร ไม่มีนี่”
ผู้สื่อข่าวบอกว่า เช่นศรีนวล บุญลือ อนุทิน ร้องโอ๊ย ก่อนตอบว่า “นั่นไม่ใช่คราวที่แล้ว”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่า จะกระทบกับการทำงานระหว่างพรรคประชาชน กับพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ อนุทินกล่าวว่า ไม่มี และไม่เคยมีปัญหา เราทำงานกับพรรคประชาชนในสภาเป็นอย่างดี มีอะไรที่หารือกัน หรือเป้าหมายที่ตรงกัน เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ กฎหมาย พ.ร.บ.อากาศสะอาด ก็ครบองค์ประชุม และสามารถรักษาองค์ประชุม เพื่อให้กฎหมายที่พรรคประชาชนเสนอ ซึ่งเราก็เห็นว่าเป็นประโยชน์ของประชาชน ย้ำว่าใน MOA เขียนไว้อยู่แล้ว หรือการเจรจา MOA ก็มีการทำความเข้าใจกันว่า กฎหมายอะไรที่เป็นประโยชน์กับประชาชน และบ้านเมือง ก็อย่าไปคิดว่าใครเป็นฝ่ายค้าน ใครเป็นฝ่ายรัฐบาล ซึ่งเราก็แสดงท่าทีให้เห็นอย่างชัดเจน
จากนั้นนายกรัฐมนตรี ไปทางต่อไปยังลงพื้นที่ติดตามการช่วยเหลือและให้กำลังใจประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ณ องค์การบริหารส่วนตำบลชีน้ำร้าย อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี โดยมี สมบัติ ไตรศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่กว่า 500 คน ร่วมรับฟังเป็นจุดสุดท้าย