วันนี้ (11 เมษายน) ที่ห้องทำงานนายกรัฐมนตรี ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หารือทางโทรศัพท์กับ คริสโตเฟอร์ ลักซอน นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ เกี่ยวกับความท้าทายของระบบการค้าโลก และแนวทางการรับมือกับมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดย จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่ได้หารือนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์อีกครั้ง ซึ่งในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อเหตุแผ่นดินไหวในประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา พร้อมขอบคุณไทยที่มีบทบาทนำและเป็นตัวกลางในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในเมียนมา
นายกรัฐมนตรีไทยและนิวซีแลนด์ยังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการรับมือความท้าทายระบบการค้าโลกปัจจุบัน ซึ่งผู้นำทั้งสองเห็นว่า เป็นโอกาสดีที่สองประเทศได้หารือเพื่อเร่งกระชับความร่วมมือระหว่างกัน แม้ว่าขณะนี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศมาตรการ 90-day pause สำหรับ Reciprocal Tariffs แต่ยังมีมาตรการภาษีต่อทุกประเทศในอัตราร้อยละ 10 ซึ่งยังคงมีความไม่แน่นอนสำหรับทุกประเทศ
ในส่วนของประเทศไทย นายกรัฐมนตรีได้ติดตาม ประเมินสถานการณ์และผลกระทบอย่างต่อเนื่อง และมีการเตรียมความพร้อมรับมือกับมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยได้แจ้งต่อสหรัฐฯ แล้วว่า ไทยพร้อมที่จะหารือเพื่อเพิ่มการค้าที่สมดุลมากขึ้น ควบคู่กับการบรรเทาผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาคส่วนต่างๆ โดยคณะทำงานได้มีการปรึกษาหารือกับทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างใกล้ชิด
นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์กล่าวว่า นิวซีแลนด์เองถูกกล่าวหาว่าเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ที่ร้อยละ 20 แม้ว่าแท้จริงแล้ว อัตราภาษีศุลกากรของนิวซีแลนด์จะอยู่ที่ร้อยละ 1.9 เท่านั้น ซึ่งผู้นำทั้งสองฝ่ายต่างกังวลถึงการนำไปสงครามการค้าที่รุนแรง และภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นทั่วโลก ทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศชะลอตัวมากขึ้น
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีทั้งสองยังได้หารือแนวทางความร่วมมือระหว่างกัน เพื่อรับมือกับมาตรการ โดยเสนอให้ทั้งสองประเทศทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ภายใต้กลไกที่มีอยู่แล้วในทั้งกรอบทวิภาคีและพหุภาคี รวมถึงในกรอบอาเซียน ทั้งความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (ASEAN-Australia-New Zealand Free Trade Agreement: AANZFTA) และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งกลไกเหล่านี้ได้ทวีความสำคัญและมีบทบาทมากขึ้น ในการรับแรงกระแทกจากสถานการณ์การค้าโลก
โอกาสนี้ ผู้นำนิวซีแลนด์กล่าวถึงความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) และเห็นว่าน่าจะเป็นอีกเครื่องมือที่ช่วยรองรับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณที่นิวซีแลนด์ที่เห็นความสำคัญในการเป็นพันธมิตรกับไทยในการรับมือกับความท้าทายระดับโลก และยืนยันถึงความมุ่งมั่นที่จะยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันสู่ความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างกันภายในปี พ.ศ. 2569