เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม 2562 บริษัท Rating and Investment Information, Inc. (R&I) ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือรายใหญ่ของญี่ปุ่น ได้ปรับอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Issuer CreditRating) จากระดับ BBB+ เป็น A- และคงมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) ที่ระดับเสถียรภาพ (Stable Outlook)
แพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ได้ให้เหตุผลที่ทำให้ประเทศไทยได้รับการปรับอันดับความน่าเชื่อถือว่ามาจากปัจจัยหลัก 4 เรื่อง กล่าวคือ
1. รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการดำเนินมาตรการเชิงรุกในการพัฒนาอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อีกทั้งมีการดำเนินการในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและผลักดันให้เกิดการลงทุนจากในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้ประเทศมีศักยภาพในการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว และหลุดพ้นจากการติดกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap)
2. การเกินดุลการค้าและดุลบริการที่เพิ่มขึ้น ซึ่งมีสาเหตุหลักจากรายได้ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง จึงทำให้ประเทศไทยมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง และมีระดับเงินสำรองระหว่างประเทศเป็นจำนวนมากเมื่อเทียบกับหนี้ต่างประเทศ ดังนั้นประเด็นเรื่องสภาพคล่องในสกุลเงินตราต่างประเทศจึงไม่น่ากังวล
3. การมีพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ซึ่งกำหนดกรอบวินัยการเงินการคลัง ทำให้การบริหารจัดการด้านการคลังมีประสิทธิภาพและมีรูปธรรมชัดเจนขึ้น โดยมีการกำหนดเพดานหนี้สาธารณะไว้ในกฎหมายอย่างชัดเจน และเนื่องจากสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ยังอยู่ในระดับที่ต่ำ ดังนั้นจึงไม่มีความน่ากังวลทั้งในประเด็นด้านความสามารถในการระดมทุนและความเสี่ยงทางการคลัง
4. ด้านการเมืองของประเทศไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น จากการที่ประเทศไทยมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการและสามารถดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดย R&I ยังคงให้ความสำคัญกับประเด็นทางการเมือง โครงสร้างของการกระจายรายได้ระหว่างเขตเมืองและชนบท รวมทั้งสภาพแวดล้อมทางการเมืองอื่นๆ ที่จะสนับสนุนการดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจของรัฐบาลในอนาคตต่อไป
“ในปี 2562 ประเทศไทยได้รับการปรับอันดับความน่าเชื่อถือดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา Moody’s และ Fitch Rating ได้ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) ให้กับประเทศไทยจากระดับเสถียรภาพ (Stable Outlook) เป็นเชิงบวก (Positive Outlook) ซึ่งการได้รับการปรับอันดับความน่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่องนี้จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยให้กับนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งยังจะช่วยให้การระดมทุนจากต่างประเทศของรัฐบาลและเอกชนไทยมีต้นทุนที่ดียิ่งขึ้นอีกด้วย”
ทั้งนี้ R&I ได้ทำการจัดอันดับความน่าเชื่อถือให้กับประเทศไทยตั้งแต่ปี 2530 เป็นต้นมา โดยการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจะพิจารณาจากองค์ประกอบ 5 ด้าน อันได้แก่ ภาวะทางการคลัง (Fiscal conditions), โครงสร้างการระดมทุน (Funding structure), ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ (Economic fundamentals), ปัจจัยพื้นฐานทางสังคมและการเมือง (Socio-political fundamentals) และความสามารถในการบริหารจัดการนโยบาย (Policy management capacity)
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์