สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยและอินเดียว่ามีทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่สงครามเย็นสิ้นสุด และหลังจาก นเรนทรา โมดี ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีอินเดียในปี 2014 ก็มีนโยบายต่อยอดยุทธศาสตร์ Look East เป็น Act East ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์ไทย-อินเดียดีขึ้นตลอด และพัฒนาจากการเป็น ‘ไดอะล็อก พาร์ตเนอร์’ กับอาเซียน เป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมกับอาเซียนในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ผู้ช่วยรัฐมนตรีกล่าวว่า ความสัมพันธ์ทวิภาคียังไม่บรรลุถึงศักยภาพที่ควรจะเป็น ดังนั้นจึงนำมาสู่การหารือกันในที่ประชุมคณะกรรมาธิการร่วมไทย-อินเดียครั้งที่ 10 (JC-10) ที่นิวเดลีในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ว่าจะทำอย่างไรให้ไทยและอินเดียเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ การลงทุน ความมั่นคง และความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน
ไทยมองว่าอินเดียเป็นประตูสู่โอกาส ปัจจุบันอินเดียเริ่มเปิดประเทศ มีตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่และชนชั้นกลางเพิ่มขึ้น มีกำลังซื้อสูง แต่ยังไม่เข้าสู่กระบวนการตลาดการค้าเสรีในภูมิภาคอย่างเช่น RCEP ซึ่งเป็นอุปสรรคสำหรับไทยในการเข้าสู่ตลาดอินเดีย ดังนั้นจึงมีการปรับปรุงการเจรจา FTA อินเดียกับอาเซียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ส่วนไทยก็กำลังมองหาโอกาสเพิ่มการค้าการลงทุนในอินเดีย โดยกำหนดเป้าหมายไว้ที่มูลค่า 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่อินเดียก็อยากให้ไทยมาลงทุนเช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมามีบริษัทหลายแห่งสนใจเข้าไปลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะในเซ็กเตอร์พลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ นอกจากนี้ยังมีอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งไทยก็มีความคาดหวังว่าอุตสาหกรรมซัพพลายเชนยานยนต์จะเข้าสู่อินเดียมากขึ้น
นอกจากนี้ ไทยยังให้ความสนใจกับอุตสาหกรรมการบิน โดยในปีที่แล้วมีคนอินเดียเดินทางมาไทยมากถึง 1.6 ล้านคน ซึ่งถือว่าไม่น้อยไปกว่าจีน แม้ว่าเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ก็ตาม แต่ปัจจุบันมีปัญหาคือเที่ยวบินไม่เพียงพอ ซึ่งรัฐบาลไทยก็มีแผนพิจารณาขยายฟรีวีซ่าให้อินเดียต่อเนื่องไปอีกระยะด้วย เพื่อรองรับดีมานด์ที่สูงขึ้น
อีกสิ่งสำคัญที่จะเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยและอินเดียให้มีประสิทธิภาพคือระบบคมนาคม ซึ่งโครงการที่มีการเจรจามากว่า 20 ปี คือถนนไฮเวย์สามฝ่าย (Trilateral Highway) ที่เชื่อมโยงไทย เมียนมา และอินเดีย ซึ่งคืบหน้าไปบางส่วน แต่ปัจจุบันติดปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมา ซึ่งหากโครงการนี้ทำได้สำเร็จจะเปิดประตูการค้าสู่ตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ขณะเดียวกันก็ทำให้อินเดียสามารถเชื่อมโยงมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย
นอกจากเส้นทางบนบกแล้ว ยังมีเส้นทางเดินเรือที่ไทยก็ให้ความสำคัญ โดยรัฐบาลต้องการดึงอินเดียมาร่วมลงทุนในโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งเป็นเมกะโปรเจกต์เชื่อมโยงทางทะเลที่สำคัญ ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นหัวข้อหนึ่งในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วม JC ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์นี้ด้วย
ผู้ช่วยรัฐมนตรีกล่าวทิ้งท้ายว่า อินเดียเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุด ขณะที่รัฐบาลไทยชุดนี้ก็มาจากการเลือกตั้งและให้ความสำคัญกับค่านิยมประชาธิปไตย ดังนั้นสิ่งนี้จึงเป็นปัจจัยยึดเหนี่ยวส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยและอินเดียให้ดียิ่งขึ้น
อ้างอิง:
- กระทรวงการต่างประเทศ
