เมื่อโลกเปลี่ยนเร็ว ความมั่นคงจึงต้องออกแบบใหม่
ในช่วงเวลาไม่ถึง 5 ปีที่ผ่านมา โลกเผชิญกับเหตุการณ์เหนือความคาดหมายอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การแพร่ระบาดครั้งใหญ่ที่ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกหยุดชะงัก ไปจนถึงเงินเฟ้อที่พุ่งสูง และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า โลกยุคใหม่สามารถเปลี่ยนทิศทางได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือน
ในปี 2025 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจโลกให้เติบโตที่ 3.0% สูงกว่าที่เคยประเมินไว้ แต่สำหรับเศรษฐกิจไทย ธนาคารโลกกลับปรับลดคาดการณ์ GDP เหลือเพียง 1.8% จากแรงกดดันด้านการส่งออกที่เปราะบาง การท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และอุปสงค์ภายในประเทศที่ชะลอตัว
ขณะเดียวกัน องค์กรเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) เตือนว่า ผลกระทบเชิงลบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจโลกยังไม่ปรากฏครบถ้วน ซึ่งอาจส่งผลต่อการค้า การลงทุน และห่วงโซ่อุปทานในระยะถัดไป
แต่ท่ามกลางความไม่แน่นอนนี้ มีกลุ่มคนที่ไม่เพียงแต่อยู่รอดได้ แต่ยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง จากรายงานอินไซต์พฤติกรรมผู้บริโภคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของ PWC ปี 2024 พบว่าคนรุ่นใหม่หันมาให้ความสนใจผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ยืดหยุ่นและปรับตามการใช้ชีวิตจริงได้ ชี้ให้เห็นว่า ‘การสร้างหลักประกันความมั่นคง’ กำลังกลายเป็นโจทย์สำคัญทั้งสำหรับผู้คนและธุรกิจในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
คำถามคือ อะไรที่ทำให้บางคนเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส?
กลยุทธ์ใหม่สำหรับเกมที่เศรษฐกิจเปลี่ยนไป
เมื่อกติกาเปลี่ยน กลยุทธ์จึงต้องปรับ การบริหารความเสี่ยงในยุคนี้ไม่ใช่แค่การ ‘ป้องกัน’ แบบเดิม แต่เป็นการ ออกแบบระบบความมั่นคงทางการเงิน ที่ยืดหยุ่นและตอบโจทย์อนาคต

3 เสาหลักของความมั่นคงทางการเงินยุคใหม่
- Foundation Security – การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เน้นความปลอดภัยของเงินลงทุน เช่น เงินฝากประจำ พันธบัตรรัฐบาล และประกันชีวิต
- Strategic Diversification – การกระจายการลงทุนอย่างชาญฉลาด หลักการ ‘ไม่ใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว’ ยังคงเป็นจริงเสมอ
- Emergency Resilience – การมีเงินสำรองฉุกเฉิน สำหรับผู้ที่มีภาระหนี้สิน ควรมีเงินสำรอง 6-12 เดือนของค่าใช้จ่ายรายเดือน
ในบรรดาเสาหลักเหล่านี้ ‘ประกันชีวิต’ คือกลไกที่น่าสนใจ เพราะไม่ใช่เพียงเครื่องมือป้องกัน แต่ยังเป็น ฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจในภาพรวม
ประกันชีวิต: เครื่องมือสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจท่ามกลางความผันผวน
รายงานขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) และ World Bank ชี้ว่า ประเทศที่มีอัตราการทำประกันชีวิตและสุขภาพสูง มักมีความสามารถในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้ดีกว่าในยามวิกฤติ ทั้งในแง่การกลับมาของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน
สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะเบี้ยประกันที่จ่ายเข้าไป ไม่ได้หยุดอยู่ที่บริษัทประกัน แต่จะ หมุนเวียนกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ บางส่วนถูกนำไปลงทุนในตลาดทุน บางส่วนกันไว้เป็นเงินสำรองเพื่อจ่ายสินไหม และอีกส่วนหนึ่งกลายเป็นค่าใช้จ่ายที่สร้างรายได้ให้ผู้คนในระบบ
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ‘Economic Shock Absorber’ หรือ กันชนเศรษฐกิจ ที่ช่วยให้ประเทศสามารถรับแรงกระแทกจากวิกฤติและฟื้นตัวได้เร็วกว่า
ญี่ปุ่น: วัฒนธรรมประกันที่สร้างภูมิคุ้มกันระดับชาติ
แนวคิดเรื่อง ‘กันชนเศรษฐกิจ’ ไม่ได้หยุดอยู่ในเชิงทฤษฎี แต่ปรากฏเป็นรูปธรรมในหลายประเทศ โดยหนึ่งในกรณีศึกษาที่ชัดเจนที่สุดคือ ญี่ปุ่น ประเทศที่เผชิญความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว ภูเขาไฟ หรือสภาพอากาศที่รุนแรง สิ่งเหล่านี้ทำให้การวางแผนรับมือกลายเป็นวัฒนธรรมที่ส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น ผ่านการทำ ประกันชีวิต

ญี่ปุ่นถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบประกันชีวิตเข้มแข็งที่สุด
- Insurance Density สูงที่สุด: จัดเป็นประเทศที่ประชากรทำประกันมากที่สุดประเทศหนึ่ง
- จำนวนกรมธรรม์ต่อประชากรสูงมาก: ประชากรถือกรมธรรม์เฉลี่ยคนละ 3.2 ฉบับ
- อัตราเบี้ยประกันต่อ GDP สูง: อยู่ที่ 8 – 8.5%
- ความครอบคลุมในครัวเรือน: มากกว่า 90% ของครัวเรือนมีประกันชีวิต
และที่สำคัญ นอกจากประกันชีวิตแบบดั้งเดิมแล้ว คนญี่ปุ่นยังให้ความสำคัญกับประกันที่ครอบคลุมการรักษาพยาบาลและการประกันรายได้หลังเกษียณ สะท้อนว่าการทำประกันไม่ใช่เพียงเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงระยะสั้น แต่เป็น ‘วัฒนธรรมการวางแผนชีวิต’ ที่ครอบคลุมทุกช่วงวัย
เมื่อเกิดแผ่นดินไหวและสึนามิครั้งใหญ่ในปี 2011 ที่สร้างความเสียหายกว่า 210 พันล้านดอลลาร์ บริษัทประกันญี่ปุ่นจ่ายค่าสินไหมกว่า 1.2 ล้านล้านเยน เงินจำนวนมหาศาลนี้ถูกอัดฉีดกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ขณะที่ในระดับครัวเรือน ประชาชนที่มีประกันสามารถเข้าถึงเงินชดเชยเพื่อใช้ฟื้นฟูชีวิตได้ทันที
และในวิกฤตโควิด-19 การมีระบบประกันที่ครอบคลุมยังช่วย ลดภาระการใช้จ่ายของรัฐบาล ทำให้รัฐสามารถนำงบประมาณไปจัดการปัญหาสำคัญด้านอื่นๆ ได้ ขณะเดียวกัน ประชาชนก็ยังมั่นใจที่จะจับจ่ายและลงทุนต่อเนื่อง
นี่คือสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า Systemic Financial Resilience หรือ ความยืดหยุ่นเชิงระบบ ที่เกิดขึ้นเมื่อทั้งประชาชนและสถาบันการเงินมี ‘เกราะป้องกัน’ ร่วมกันทั้งประเทศ
เสถียรภาพที่ขับเคลื่อนด้วยระบบประกัน
ญี่ปุ่นอาจเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของประเทศที่ใช้ ‘วัฒนธรรมประกัน’ เป็นฐานในการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แต่หากมองในระดับโลก จะพบรูปแบบที่น่าสนใจไม่แพ้กัน – ตลอดกว่า 80 ปีที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีประเทศใดที่มีอัตราการทำประกันสูงกว่า 8% ของ GDP แล้วต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจาก IMF
ตัวอย่างเช่น สวิตเซอร์แลนด์ (9.3%) ที่ผ่านทุกวิกฤตเศรษฐกิจโดยไม่ถดถอย, เนเธอร์แลนด์ (8.9%) ที่ฟื้นตัวจากวิกฤติการเงินโลกปี 2008 ได้เร็วที่สุดใน EU และ เดนมาร์ก (8.1%) ที่ครองอันดับต้นๆ ของ World Happiness Index ต่อเนื่องหลายปี
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็น รูปแบบแห่งความสำเร็จ ที่พิสูจน์มาแล้วว่า:
- ประชาชนมีประกันมากขึ้น → ความมั่นใจทางการเงินเพิ่มขึ้น
- ความมั่นใจสูงขึ้น → เกิดการใช้จ่ายและการลงทุน
- เศรษฐกิจเติบโต → รายได้ประชาชนสูงขึ้น
- รายได้ที่มากขึ้น → สนับสนุนให้มีการทำประกันเพิ่มขึ้นอีก
นักเศรษฐศาสตร์จึงนิยามปรากฏการณ์นี้ว่า Insurance-Led Economic Stability — เสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยระบบประกัน ซึ่งไม่ได้หยุดอยู่แค่การป้องกันรายบุคคล แต่ยังเสริมความแข็งแรงให้เศรษฐกิจในภาพรวม
The Thai Opportunity: จุดเปลี่ยนของคนไทยรุ่นใหม่
ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บน ‘จุดเปลี่ยนที่น่าสนใจ’ ปัจจุบัน Insurance Penetration ของไทยอยู่ที่ประมาณ 5.3% ของ GDP (ข้อมูล UNDP 2020) ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่มีสัดส่วน 8-12% ช่องว่างนี้ คือ ‘โอกาส’ ที่รอการเติมเต็ม
แผนพัฒนาการประกันภัยฉบับที่ 4 (2021-2025) ของ คปภ. กำหนดทิศทางชัดเจนว่าจะผลักดันให้ไทยขยับไปสู่ระดับดังกล่าว ข้อมูลจาก Statista (2022) พบว่า ประมาณ 40% ของคนไทยยังไม่มีประกันใดๆ ขณะที่การสำรวจของ Peak Re ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (2023) พบว่า insurance awareness มีความสัมพันธ์โดยตรงกับ ownership rate หรือ อัตราการถือครองกรมธรรม์ประกัน อย่างชัดเจน
The Mindset Revolution: จากการป้องกัน สู่การลงทุนเชิงกลยุทธ์เพื่ออนาคต
สิ่งที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านนี้เกิดขึ้นได้จริง คือการ เปลี่ยนวิธีคิด ของคนไทยต่อประกันชีวิต จากสิ่งที่เคยถูกมองว่าเป็น ‘การป้องกัน’ ไปสู่การเป็น Strategic Life Investment หรือการลงทุนเชิงกลยุทธ์เพื่ออนาคต ซึ่งสร้างผลตอบแทนหลายมิติ ไม่ใช่เพียงความคุ้มครอง
- Financial Protection – ปกป้องรายได้และทรัพย์สิน พร้อมความอุ่นใจเมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิด
- Systematic Saving – ออมเงินอย่างมีระบบและต่อเนื่อง
- Investment Growth – สร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่ต่อยอดความมั่งคั่งระยะยาว
- Tax Efficiency – ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาทต่อปี
- Psychological Security – ความมั่นใจที่ช่วยให้ตัดสินใจทางการเงินได้อย่างมั่นคง
และเมื่อมองจากระดับบุคคลไปสู่ระดับเศรษฐกิจมหภาค จะยิ่งเห็นชัดว่า ‘การลงทุนผ่านประกันชีวิต’ ไม่ได้หยุดอยู่เพียงการสร้างความมั่นคงให้เจ้าของกรมธรรม์ แต่ยังขยายผลกลับสู่ระบบเศรษฐกิจในวงกว้างด้วย
งานวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์ค้นพบว่า การลงทุนในระบบประกันสามารถสร้างผลคูณทางเศรษฐกิจในระยะยาว เบี้ยประกันหมุนเข้าสู่ตลาดทุน → ธุรกิจมีสภาพคล่อง → เกิดการจ้างงานและนวัตกรรม → รายได้เพิ่มขึ้น → เศรษฐกิจเติบโต → กลับมาสนับสนุนให้ประชาชนสามารถทำประกันได้มากขึ้นอีก
นี่คือเหตุผลที่รัฐบาลหลายประเทศเลือกส่งเสริมการทำประกัน ไม่ใช่เพียงเพื่อสนับสนุนบริษัทประกัน แต่เพื่อสร้าง Economic Immune System หรือ ภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ ที่ทำให้ทั้งประเทศยืนหยัดได้ในยุคแห่งความผันผวน
เมื่อความผันผวนกลายเป็นความปกติใหม่ (the new normal) การมีประกันชีวิตคือการลงทุนใน ‘ระบบเศรษฐกิจแห่งอนาคต’ ที่ช่วยให้ทั้งบุคคล ครอบครัว และประเทศเดินหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ประสบการณ์จากหลายประเทศพิสูจน์แล้วว่า ระบบประกันที่แข็งแรง ทำให้สังคมไม่เพียงแต่อยู่รอดในยามวิกฤติ แต่ยังสามารถใช้ช่วงเวลาแห่งความท้าทายเป็นโอกาสในการเติบโตและสร้างเสถียรภาพระยะยาว
สำหรับประเทศไทย วันนี้คือจุดเปลี่ยนสำคัญ คนรุ่นใหม่มีทางเลือกสองเส้นทาง:
- Opportunity Surfers – ผู้เรียนรู้ที่จะโต้คลื่นความผันผวน และเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส
- Opportunity Creators – ผู้ไม่เพียงแค่ปรับตัว แต่ยังสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อประโยชน์ของตนเองและสังคมในอนาคตที่ดีกว่า
คำถามคือ – คุณจะเลือกเป็นใคร?
เพราะการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่สามารถเริ่มได้ทันที จากการออกแบบการเงินของเราในวันนี้ เพื่อให้อนาคตมั่นคงอย่างที่ต้องการ
ภาพ: SvetaZi/Getty Images
อ้างอิง:
- https://www.imf.org/en/Publications/WEO/Issues/2025/07/29/world-economic-outlook-update-july-2025
- IMF Staff Country Reports 2024 – Japan Financial Sector Assessment
- OECD Global Insurance Market Trends 2024
- https://www.reuters.com/world/asia-pacific/hold-world-bank-cuts-thailands-2025-gdp-growth-outlook-18-29-2025-07-03/
- https://www.reuters.com/world/china/oecd-says-full-brunt-us-tariff-shock-yet-come-growth-holds-up-2025-09-23/
- Swiss Re Global Insurance Penetration Statistics 2022
- Thailand Insurance Statistics – Statista
- Peak Re Consumer Survey 2023 – Insurance Penetration and Awareness in Southeast Asia
- UNDP Thailand Insurance and Risk Finance Analysis 2020
- Japan Lost Decades Economic Analysis – Wikipedia
- https://www.pwc.com/gx/en/about/pwc-asia-pacific/voice-of-the-consumer-survey-2024-asia-pacific.html
- สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) – แผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 4 (2021-2025)
- สมาคมประกันชีวิตไทย – รายงานสถิติการประกันชีวิต


