แค่เริ่มเกมก็เจ็บแล้ว…
แฟนบอลยังไม่ทันได้นั่งชมเกม ทีมชาติไทยก็โดนเติร์กเมนิสถานยิงประตูนำตั้งแต่วินาทีที่ 36 แรกของเกม ในนัดที่ 2 ของศึกเอเชียนคัพ 2027 รอบคัดเลือก
แม้ช้างศึกจะตามตีเสมอได้ในครึ่งแรก และดูเหมือนจะมีโอกาสกลับมาอยู่ในเกม แต่สุดท้ายกลับโดนยิงนำอีกครั้งในครึ่งแรก กับอีก 1 ประตูในครึ่งหลัง ทำให้ทัพช้างศึกพ่ายไป 1-3 บนสนามหญ้าเทียมของเจ้าถิ่น และต้องกลับบ้านมือเปล่า
นี่ไม่ใช่แค่การแพ้ให้กับทีมที่มีอันดับฟีฟ่าห่างจากไทยถึง 43 อันดับเท่านั้น แต่เป็นเกมที่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนถึงปัญหาหลายจุด ที่ทีมชาติไทยจำเป็นต้องถอยกลับมาตั้งหลักอย่างจริงจัง (อีกครั้ง) หากหวังจะไปถึงรอบสุดท้ายของศึกเอเชียนคัพที่เราต่างมองว่าเป็นเป้าหมายที่ใหญ่สุดในเวลานี้
หนึ่งในประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างหนักจากเกมพ่ายเติร์กเมนิสถาน คือการตัดสินใจจัดตัวผู้เล่นของ มาซาทาดะ อิชิอิ หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย ซึ่งเลือกชุด 11 ตัวจริงที่แตกต่างจากเกมอุ่นเครื่องที่เพิ่งเอาชนะอินเดีย 2-0 โดยที่ชื่อของ ปรเมศย์ อาจวิไล และ เบน เดวิส กลับไม่มีอยู่ในรายชื่อตัวจริงของเกมนี้
ขณะที่ผู้เล่นหลายคนที่ได้ลงสนามกลับไม่สามารถแสดงศักยภาพได้ตามความคาดหวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกใช้ เบน เดวิส เป็นเพียงตัวสำรอง ทั้งที่เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่มีเทคนิคและความสามารถโดดเด่น
ภายหลังจบเกม อิชิอิให้เหตุผลว่า เดวิสมีคุณภาพและความพยายาม แต่ในแง่ของการยืนตำแหน่งและการประสานงานกับเพื่อนร่วมทีม ยังเป็นรองตัวเลือกอื่นในสายตาของทีมงาน ซึ่งทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ตามมาถึงแนวทางการจัดทีมและการตัดสินใจของโค้ชชาวญี่ปุ่นรายนี้
อีกหนึ่งปัจจัยที่ถูกพูดถึงคือสภาพสนามหญ้าเทียมที่อัชกาบัตสเตเดียม ซึ่งอิชิอิยอมรับว่ามีผลต่อประสิทธิภาพของนักเตะ แม้จะมีการซ้อมปรับตัวล่วงหน้า แต่เมื่อถึงเกมจริง ทีมไทยก็ยังไม่สามารถรับมือกับสภาพสนามได้ดีพอ และนั่นสะท้อนออกมาในรูปแบบเกมที่ขาดความต่อเนื่องและควบคุมสถานการณ์ไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นสนามหญ้าเทียม สภาพอากาศ หรือความไม่เข้าใจระหว่างผู้เล่น สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ มาตรฐานโดยรวมของทีมชาติไทยตกลงอย่างเห็นได้ชัด
และจุดสำคัญที่ถูกพูดถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่าคือรูปแบบเกมรุกของไทยที่ยังขาดความหลากหลายและความสร้างสรรค์ ยังคงพึ่งพาการต่อบอลสั้นแบบเดิมๆ โดยขาดมิติการเข้าทำที่เฉียบคม จนไม่สามารถเจาะแนวรับที่แน่นหนาของเติร์กเมนิสถานได้
ขณะเดียวกันเกมรับของไทยยังคงมีช่องโหว่ โดยเฉพาะการเสียประตูตั้งแต่วินาทีที่ 36 ของเกมแรก ซึ่งสะท้อนถึงการขาดสมาธิและความพร้อมตั้งแต่เริ่มการแข่งขัน
อิชิอิชี้ว่า เติร์กเมนิสถานมีวิธีการเล่นที่ชัดเจน ครบเครื่อง และเหนือกว่าในหลายมิติ โดยเฉพาะความเข้าใจเกมที่เกิดจากการมีผู้เล่นถึง 8-9 คนมาจากสโมสรเดียวกัน ซึ่งทำให้พวกเขามีความเข้าใจในการเล่นร่วมกันสูง แตกต่างจากทีมชาติไทยที่ยังขาดความต่อเนื่องและความเป็นทีมในสนามอย่างเห็นได้ชัด
ความพ่ายแพ้ต่อเติร์กเมนิสถานครั้งนี้ไม่ใช่จุดจบ แต่คือสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า ทีมชาติไทยยังมีหลายจุดที่ต้อง ‘ทบทวนตัวเอง’ ทั้งในแง่ของการจัดการทีม การวางแผนแท็กติก ไปจนถึงความหลากหลายในการเล่น ตั้งแต่
1️⃣ อิชิอิต้องกล้าทบทวนการเลือกผู้เล่นตัวจริงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ทั้งเรื่องความมั่นใจของนักเตะ คู่แข่ง และสภาพสนาม เพื่อให้ทีมมีความพร้อมที่สุดในทุกเกมสำคัญ
2️⃣ ทีมไทยต้องพัฒนารูปแบบการเข้าทำที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ความเร็วจากริมเส้น การยิงไกล หรือการเล่นลูกตั้งเตะ เพื่อเพิ่มทางเลือกในการเข้าทำจะช่วยให้ทีมมีอาวุธมากขึ้นยามเจอสถานการณ์ตื้อตัน
3️⃣ เกมรับที่ต้องรัดกุม การเสียประตูตั้งแต่ต้นเกมและการเสียถึง 3 ประตูในเกมเดียวแสดงถึงช่องโหว่ในแนวรับ การปรับปรุงการยืนตำแหน่ง และสำคัญคือสมาธิของผู้เล่นในช่วงเริ่มเกมเป็นสิ่งที่ต้องเร่งแก้ไข
4️⃣ ความเป็นทีมต้องดีกว่าเดิม เพราะเกมนี้เติร์กเมนิสถานได้เปรียบจากความเข้าใจในเกมของผู้เล่นที่มาจากสโมสรเดียวกัน ทีมไทยเองก็ควรเน้นการสร้างเคมีในทีมผ่านการฝึกซ้อมร่วมกันและการแข่งขันที่ต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้เล่นมีความสามัคคีและประสานงานได้ดีขึ้น
หากทีมชาติไทยต้องการไปให้ถึงรอบสุดท้ายของ เอเชียน คัพ 2027 และทำผลงานให้สมกับความหวังของแฟนบอล ความพ่ายแพ้ในเกมนี้ต้องไม่จบแค่ ‘คำแก้ตัว’ แต่ต้องเป็นจุดเริ่มต้นของการยอมรับและเปลี่ยนแปลงจากทุกฝ่าย
สำหรับโปรแกรมถัดไปของทีมชาติไทยคือศึกคิงส์คัพ ครั้งที่ 51 ช่วงฟีฟ่าเดย์เดือนกันยายน ก่อนจะกลับมาลงสนามในเกมคัดเลือกอีกครั้งเดือนตุลาคม พบกับไชนีสไทเป ซึ่งอาจกลายเป็นเกมตัดสินชะตาสู่รอบสุดท้าย