ปฏิทินการเลือกตั้งที่เลื่อนมาแล้ว 4 ครั้งในรอบ 4 ปี ในยุครัฐบาล คสช. ทำท่าจะมีความชัดเจนขึ้น หลังนายกรัฐมนตรีประกาศย้ำว่า การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์ 2562
วันนี้ (27 ก.พ.) หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. แถลงข่าวตอบคำถามสื่อมวลชนถึงการให้กลุ่มการเมืองจดแจ้งชื่อพรรคการเมืองในวันที่ 2 มีนาคมนี้ว่า หลังกลุ่มการเมืองจดแจ้งตั้งพรรคการเมืองใหม่ ก็จะให้พรรคการเมืองใหม่สามารถประชุมเพื่อเตรียมระเบียบต่างๆ ได้ แต่การจัดกิจกรรมทางการเมืองจะต้องขออนุญาต คสช. เป็นครั้งคราวไป ซึ่งบางอย่างอาจจะอนุมัติ บางอย่างก็อาจไม่อนุมัติ
สำหรับพรรคการเมืองเก่านั้น วันที่ 1 เมษายน ก็จะให้สำรวจสมาชิกพรรค เพราะมีบัญชีรายชื่ออยู่แล้ว แต่ยังประชุมพรรคไม่ได้
แต่หลังจากกฎหมายลูก 2 ฉบับคือ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญการได้มาซึ่ง ส.ว. ซึ่งจะประกาศบังคับใช้ได้ประมาณเดือนมิถุนายนนั้น
ในเดือนมิถุนายนนี้จะมีการประชุมแม่น้ำ 5 สาย และเรียกพรรคการเมืองเข้ามาหารือเพื่อกำหนดวันเลือกตั้ง แต่ทั้งนี้วันเลือกตั้งจะอยู่ในกรอบเวลาที่กำหนดคือไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์ 2562
“ตอนนี้ผมตอบชัดเจนแล้วนะว่าการเลือกตั้งจะไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์ 2562 จะเอาอะไรกันอีก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะวันเวลาไหนมันก็อยู่ที่ห้วงเวลาดังกล่าวในช่วง 150 วัน และในช่วง 150 วันก็ต้องพิจารณาดูว่าสถานการณ์บ้านเมืองมันเป็นอย่างไร ผมไม่ได้ขู่นะ เดี๋ยวคอยดูแล้วกัน เวลาปลดล็อกทางการเมืองแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง ผมก็หวังให้มันเกิดสิ่งดีๆ ขึ้นมา หาเสียงกันโดยสงบ ไม่ใส่ร้ายป้ายสี ไม่ยุยงปลุกปั่น มันจะได้เลือกตั้งได้ ผมก็อยากให้เลือกตั้งได้ ผมไม่ได้หมายความว่าจะให้เลือกตั้งไม่ได้ แล้วผมจะได้อยู่ต่อ ถ้าคิดแบบนี้ก็ไม่อยากคุยด้วย” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ. ประยุทธ์ ยืนยันด้วยว่า เรื่องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะไม่มีวันสุญญากาศได้ เพราะถ้าคัดเลือกใหม่ได้ ชุดใหม่ก็ทำหน้าที่ไป แต่ถ้าไม่ได้ ก็ให้ กกต. ชุดเก่าทำหน้าที่จัดการเลือกตั้ง
ส่วนกรณีกระแสข่าว นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. จะตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเพื่อสนับสนุนตนเป็นนายกฯ ต่อนั้น พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของนายสุเทพ เพราะมีคนจะตั้งพรรคการเมืองตั้งเยอะ โดยส่วนที่สนับสนุนตนก็ขอบคุณทุกคน แต่ทั้งนี้มันจะเป็นไปได้อย่างไรนั้นขึ้นกับกฎหมาย ไม่ใช่ว่าสนับสนุนตนแล้วตนต้องได้เป็น แล้วก็นำไปเป็นประเด็นขัดแย้งกันต่อไปด้วยคำว่าสนับสนุนหรือไม่สนับสนุน