×

เศรษฐกิจไทยเสี่ยงโตต่ำนาน ‘สงครามการค้า-วิกฤตในประเทศ’ รุมเร้า แม้ได้ไฟเขียวลดภาษีเหลือ 19%

24.08.2025
  • LOADING...
เศรษฐกิจไทย

แม้การเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐฯ จะได้ผลดีเกินคาด แต่ SCB EIC มองว่าเศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยกดดันอีกมาก ทั้งความขัดแย้งในประเทศ การท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ และการลงทุนที่ชะลอตัวจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทำให้คาดการณ์การเติบโตในปี 2568 และ 2569 ยังอยู่ในระดับต่ำ

 

SCB EIC ประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 ขยายตัว 1.8% (เดิม 1.5%) และปี 2569 เป็น 1.5% (เดิม 1.2%) ปัจจัยหลักมาจากการเร่ง Front-loading สินค้าส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปี ก่อนสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้าสูงขึ้นมาก สอดคล้องกับข้อมูลเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/2568 ที่ประกาศออกมา 2.8%YOY สูงกว่าที่ประเมินไว้เล็กน้อย จากการเร่งส่งออกสินค้าและการลงทุนภาคเอกชนที่กลับมาขยายตัวส่วนหนึ่งจากฐานต่ำ และจากอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ของไทยที่เจรจาได้ต่ำกว่าคาดเหลือ 19% ใกล้เคียงคู่แข่งหลักในตลาดสหรัฐฯ ช่วยให้แนวโน้มส่งออกและลงทุนปรับดีขึ้นบ้าง

 

มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวชะลอลงมากในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และต่อเนื่องไปปี 2569 แรงส่งหลักที่จะแผ่วลง คือ 

 

  1. การส่งออกจะหดตัวแรง โดยเฉพาะหลังหมดผล Front-loading ในตลาดสหรัฐฯ และความต้องการสินค้าไทยจะลดลงจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว หลังภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ เริ่มเก็บจริง 
  2. การท่องเที่ยวจะชะลอตัว SCB EIC ปรับลดประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2568 เหลือ 32.9 ล้านคน และจะทยอยฟื้นตัวในปี 2569 โดยความขัดแย้งบริเวณชายแดนอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงภาคการท่องเที่ยวยังมีความท้าทายจาก Tourism war และการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ชะลอลง 
  3. การลงทุนภาคเอกชน แม้ขยายตัวดีในไตรมาส 2 แต่ส่วนหนึ่งจากปัจจัยฐาน ภาพการลงทุนจะชะลอลงในระยะข้างหน้าจากผลของกำแพงภาษีสหรัฐฯ และความเปราะบางของอุปสงค์ในประเทศ 
  4. แรงส่งภาครัฐแผ่วลง ตามการเบิกจ่ายงบลงทุนที่ช้ากว่าที่ประเมินไว้ และปัจจัยฐานต่ำในปี 2567 เริ่มมีผลช่วยน้อยลง

 

ในระยะสั้น แม้อัตราภาษีสหรัฐฯ เหลือ 19% และไทยยื่นข้อเสนอใหม่ที่คำนึงรูปแบบการเปิดตลาดเพิ่มเติมจากข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ โดยเฉพาะภาคเกษตร จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐฯ และบรรเทาความกังวลผลกระทบต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการจากการเปิดตลาดลงได้บ้าง แต่ยังต้องจับตาความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกไทยที่ยังเผชิญกับแรงกดดันจากคู่แข่งที่เผชิญภาษีนำเข้าในอัตราที่แตกต่างกันไป ตลอดจนค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วช่วงที่ผ่านมาหากเปรียบกับหลายประเทศคู่แข่งสำคัญในตลาดสหรัฐ อาจเป็นอีกปัจจัยกดดันความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกไทย

 

มองไปข้างหน้าเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงเพิ่มเติมจากสงครามการค้าที่ยังต้องติดตาม ได้แก่ 

 

  1. สินค้าส่งออกที่มี Import content สูงเสี่ยงจะถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีสวมสิทธิเพิ่ม 40% 
  2. การแข่งขันด้านราคาในตลาดสหรัฐฯ จะรุนแรงมากขึ้น กระทบ Margin ของผู้ประกอบการ 
  3. การรับมือปัญหา Import flooding และการปกป้องตลาดภายในประเทศทั่วโลกที่จะรุนแรงขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าอดีตมาก ส่วนหนึ่งจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ สูงขึ้นมากจากอดีต ทำให้การพึ่งพา Growth model เดิมของไทยที่เติบโตด้วยการค้าโลกจะเป็นไปได้ยากขึ้น

 

นอกจากประเด็นการค้า ยังมีประเด็นความขัดแย้งไทยและกัมพูชาเป็นปัจจัยลบเพิ่มเติมผ่านช่องทางการค้า การลงทุน ท่องเที่ยว และแรงงาน ผลกระทบขึ้นกับความรุนแรงของมาตรการตอบโต้และความยืดเยื้อ ทำให้ภาพรวมแนวโน้มของภาคธุรกิจไทยยังมีความเสี่ยงอยู่มาก โดยยังต้องจับตาความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกไทยกับคู่แข่งที่เผชิญภาษีสหรัฐฯ ในอัตราแตกต่างกัน และรายละเอียดเพิ่มเติมของข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับไทย โดยเฉพาะธุรกิจส่งออกที่เน้นตลาดสหรัฐฯ จะเผชิญการแข่งขันด้านราคารุนแรงขึ้น หรือหากสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ มี Import content สูง อาจเสี่ยงถูกเพ่งเล็งกรณีสวมสิทธิ สำหรับการเปิดตลาดนำเข้าจากสหรัฐฯ ในเบื้องต้นคาดว่า ผลกระทบยังจำกัดในระยะสั้น เนื่องจากภาครัฐอาจออกมาตรการกำหนดโควตากลุ่มสินค้าที่มีความอ่อนไหวมากและปกป้องผู้ผลิตในประเทศ

 

สำหรับมุมมองเศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มชะลอตัวมากในปี 2568-2569 แม้จะปรับดีขึ้นบ้าง หลังภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ประกาศออกมารุนแรงน้อยกว่าที่ประเมินไว้และเลื่อนวันเริ่มบังคับใช้อีก 1 เดือน รวมถึงประเทศต่างๆ มีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น โดยเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัว 2.4% ในปี 2568 และ 2569 ดีกว่าที่เคยมองไว้เล็กน้อย แต่ทิศทางยังชะลอลงจาก 2.8% ในปี 2024 อย่างไรก็ดี ภาษีนำเข้ารายสินค้าที่สหรัฐฯ อาจทยอยประกาศเพิ่มเติม เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ยาและเวชภัณฑ์ ไม้ เครื่องบิน เป็นความเสี่ยงสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไป

 

นโยบายการเงินโลกยังมีแนวโน้มผ่อนคลายลงอีก แต่ความเสี่ยงจากสงครามการค้าจะมีผลต่อความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีโอกาสลดดอกเบี้ย 50 bps ในปีนี้ (เดิมมอง 25 bps) หากข้อมูลการจ้างงานเดือน ส.ค. ยังออกมาต่ำ เนื่องจากคณะกรรมการเริ่มให้ความสำคัญกับข้อมูลตลาดแรงงานมากขึ้นหลังตัวเลขปรับย้อนหลังแย่ลงมาก และลดอีก 75 bps ในปีหน้า 

 

ส่วนธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยอีก 25 bps เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจที่อยู่ภายใต้แรงกดดันจากสงครามการค้า แต่เลื่อนการลดครั้งสุดท้ายเป็นในไตรมาส 4 ของปีนี้ (เดิมไตรมาส 3) จากกำแพงภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่รุนแรงน้อยลง และรอความชัดเจนภาษีรายสินค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะยาซึ่งมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจยูโรโซนสูง วัฏจักรการลดดอกเบี้ยรอบนี้ของยูโรโซนจะจบลงภายในสิ้นปีนี้ 

 

ธนาคารกลางจีน (PBOC) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในช่วงปลายปี และอาจลดดอกเบี้ยอีกรวม 20 bps ในปี 2569 และเตรียมมาตรการผ่อนคลายนโยบายแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้ จากความไม่แน่นอนที่ยังคงสูง และเงินเฟ้อที่สูงจากปัจจัยชั่วคราว แต่อาจกลับมาปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในช่วงต้นปี 2569 

 

SCB EIC ประเมินอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะปรับลดลงอีก 1 ครั้งในปีนี้ และอีก 1 ครั้งในปี 2569 จาก 

 

  1. ภาวะการเงินยังตึงตัวจากการชะลอลงของสินเชื่อและเงินบาทแข็งค่า อาจเป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า 

 

  1. อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง (Real rate) ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ไม่สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่จะขยายตัวต่ำกว่าในอดีตอย่างมีนัย 

 

  1. อัตราเงินเฟ้อไทยต่ำกว่ากรอบเป้าหมายต่อเนื่องนาน 

 

SCB EIC ประเมินอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2568 จะต่ำลงเหลือ 0.2% (เดิมมองไว้ 0.5%) จากราคาพลังงานและอาหารสดที่ลดลงต่อเนื่อง โดยมองว่าอัตราเงินเฟ้อที่ติดลบต่อเนื่องหลายเดือนจะกลับเป็นบวกได้ในไตรมาส 4 แม้ความเสี่ยงภาวะเงินฝืดยังมีไม่มาก แต่ครัวเรือนไทยอาจกำลังเผชิญ ‘Debt Deflation’ อยู่ ภาระหนี้สูงอาจลดทอนกำลังซื้อของครัวเรือน ส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศอ่อนแอต่อเนื่อง จนทำให้ความเสี่ยงภาวะเงินฝืด (Deflation) สูงขึ้นได้ในที่สุด

 

อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising