การบริโภคชะลอตัว การลงทุนจากต่างชาติขาดหาย เป็นสัญญาณบอกความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยที่ทุกคนล้วนจับตามองมาตลอดในปีนี้
และคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร กับสมเด็จฮุนเซน ก็คล้ายเป็นรูรั่วใหญ่ สร้างความกังวลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลจากทุกฝ่าย และยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและตลาดทุนอย่างรวดเร็ว
หัวเรือการเมืองไทยจะแล่นไปไหนได้บ้าง
หลังจากพรรคภูมิใจไทยสละเรือ รัฐบาลตกอยู่ในสภาวะ ‘เสียงปริ่มน้ำ’ จากจำนวนที่นั่งเหลือเพียง 261:234 ซึ่งท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลยังคงไม่แน่นอนในการไปต่อกับรัฐบาลแพทองธาร นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรีต้องเผชิญความท้าทายด้านความชอบธรรมทั้งในและนอกสภา รวมถึงประเด็นจริยธรรมที่อาจถูกยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ นักวิเคราะห์หลายฝ่ายมองว่าหลังจากนี้มี 3 ฉากทัศน์หลักที่อาจเกิดขึ้นได้
- รัฐบาลอยู่ต่อ: เป็นทางเลือกที่เกิดขึ้นยากที่สุด และด้วยสภาวะเสียงปริ่มน้ำจะทำให้การผลักดันนโยบายขนาดใหญ่ทำได้ยาก การประคับประคองทั้งตนและพรรคร่วมฯ ไปจนถึงเลือกตั้งครั้งหน้านั้นอาจลำบากเกินไป
- นายกฯ ลาออก: การเปลี่ยนตัวผู้นำอาจช่วยลดแรงกดดันในระยะสั้น แต่ยังคงมีความไม่แน่นอนว่าผู้นำคนใหม่จะมีประสิทธิภาพในการบริหารมากน้อยเพียงใด และนโยบายสำคัญจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด
- ยุบสภา: เป็นทางเลือกที่จะสร้างความผันผวนมากที่สุด เพราะสิ่งที่จะต้องตามมาคือการเลือกตั้งใหม่ภายใน 45 – 60 วัน ตลาดทุนจะเผชิญความแปรปรวนต่อเนื่อง งบประมาณภาครัฐอาจล่าช้าอย่างรุนแรง และส่งผลกระทบต่อ GDP อย่างมีนัยสำคัญ
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดในสถานการณ์นี้คืออะไร?
จากฉากทัศน์ทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้น พายุการเมืองอาจพัดเอาสิ่งน่ากังวลเข้ามา เป็นตัวแปรให้ทุกฝ่ายต้องยิ่งตื่นตัว ไม่ว่าจะเป็น
- การประท้วงรุนแรง: แม้ยังไม่มีสัญญาณว่าจะถูกจุดติดในเร็วๆ นี้ ทว่าก็เป็นสิ่งที่พึงระวัง ว่าความขัดแย้งทางการเมืองอาจบานปลายไปสู่การประท้วงที่รุนแรงหรือการปฏิวัติ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเชื่อมั่นของต่างชาติ
- การขาด Engine of Growth: เศรษฐกิจไทยเปราะบางอยู่แล้ว การเมืองที่ไร้เสถียรภาพจะทำให้การผลักดันนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ หรือนโยบายเชิงรุกต่างๆ ทำได้ยากยิ่งขึ้น ประเทศจะขาด “เครื่องยนต์ใหม่” ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจไทยค่อยๆ ซึมเซาลง และอาจเติบโตต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก
- ความเสี่ยงจากภายนอก: นอกจากปัญหาภายในแล้ว เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงจากภายนอก เช่น สงครามการค้าที่ยังไม่คลี่คลาย ประเด็นภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ หากภายในประเทศยังคงวุ่นวายและขาด “หัวเรือ” ที่เข้มแข็งในการบริหารจัดการ จะทำให้ไทยไม่สามารถรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอาจพลาดโอกาสสำคัญในการเจรจาหรือสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ
ผู้ประกอบการไทย ฝ่ามรสุมนี้ไปอย่างไรดี
แม้สิ่งที่เกิดขึ้นจะน่ากังวล แต่เจ้าของธุรกิจ นักลงทุน ผู้ประกอบการ หรือกระทั่งคนทั่วไป ยังสามารถเตรียมตัวเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
- วิเคราะห์สถานการณ์อย่างละเอียด
ไม่ว่าจะยุบสภา นายกฯ ลาออก หรือไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไป ผู้ประกอบการจะต้องพิจารณาผลกระทบต่อธุรกิจอย่างรอบด้าน ทั้งด้านการเงิน การตลาด การผลิต หรือบุคลากร
สำคัญที่สุดคือการประเมินสภาพคล่อง (Cash Flow) และความสามารถในการอยู่รอดของธุรกิจ หากเกิดสถานการณ์ที่การลงทุนหยุดชะงักและผู้บริโภคไม่จับจ่ายใช้สอย ควรไปต่ออย่างไร
- สร้างแผนรองรับทุกความเสี่ยง
เตรียมแผนสำรองสำหรับทุกสถานการณ์ ตั้งแต่กรณีที่ดีที่สุด กรณีพื้นฐานไปจนถึงกรณีที่เลวร้ายที่สุด และต้องสร้างความเข้าใจร่วมกับทีมงานทุกฝ่าย เพื่อให้ทุกคนพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
- ผู้นำต้องยืนหยัดอย่างมั่นคงที่สุด
ความเครียดและความกังวลอาจทำให้ความรู้สึกของบุคลากรระส่ำระส่าย ผู้นำองค์กรต้องสื่อสารสถานการณ์อย่างโปร่งใสและชัดเจน ให้กำลังใจ รับฟังความคิดเห็น และประคับประคองทีมงานให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้
พายุการเมืองลูกใหญ่พัดเข้าสู่เศรษฐกิจไทยในจังหวะที่เปราะบางอยู่แล้ว
ทางรอดสำหรับผู้ประกอบการไทย คือการปรับโหมด ‘เฝ้าระวังสูงสุด’ เตรียมรับมือกับทุกความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว เพราะในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนที่สุด ผู้ที่ประคับประคองธุรกิจให้อยู่รอดได้ คือผู้ที่ไม่ประมาท และตื่นตัวอยู่เสมอ