×

ไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? วิกฤตขีดความสามารถในการแข่งขัน เมื่อบุญเก่าหมด คนเก่งสมองไหล การเมืองไร้เสถียรภาพ

19.06.2025
  • LOADING...
อินโฟกราฟิกแสดงอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย ปี 2568 ร่วงลงจากปีที่แล้ว

ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยประจำปี 2568 โดย IMD เข้าขั้น ‘วิกฤต’ หลังอันดับร่วงลง 5 ขั้น มาอยู่ที่ 30 จาก 67 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก และพบว่าขีดความสามารถถดถอยลงในทุกมิติ สะท้อนภาพประเทศไทยที่ “อ่อนแอ” ลงทั้งในเชิงโครงสร้างและระบบ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออนาคตของประเทศ

 

รายงานจากสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ซึ่งเผยผลการจัดอันดับโดย World Competitiveness Center ของ International Institute for Management Development หรือ IMD สวิตเซอร์แลนด์ (IMD-WCC) ชี้ว่า ปัจจัยที่น่ากังวลที่สุดคือ ประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government Efficiency) ซึ่งมีอันดับลดลงมากที่สุด

 

 

นิธิ ภัทรโชค ประธานสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) เปิดเผยว่า ผลการจัดอันดับสะท้อนชัดเจนว่าขณะนี้ประเทศไทย “อ่อนแอ” ทั้งเชิงโครงสร้างและระบบ ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาประเทศอย่างมาก

 

นิธิชี้ 6 ปัจจัย ฉุดรั้งขีดความสามารถแข่งขันไทย

 

  1. อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ต่ำ: อยู่ในระดับรองอันดับสุดท้ายเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศอาเซียน

 

  1. ขาดการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่: กว่าทศวรรษที่ผ่านมา ไทยมีเพียงแผน แต่ไม่มีการลงทุนใน New S-curve อย่างเป็นรูปธรรม

 

  1. การลงทุนหดตัว: การลงทุนโดยตรงจากทั้งในและต่างประเทศลดลงต่อเนื่อง รวมถึงการลงทุนในตลาดทุน และยังมีความเสี่ยงจาก “ภาษีทรัมป์” ที่อาจทำให้การลงทุนลดลงไปอีก

 

  1. ความเหลื่อมล้ำสูง: สะท้อนจากดัชนีความยากจนของไทยที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

  1. คอร์รัปชันและกฎหมายล้าหลัง: ปัญหาคอร์รัปชันและการบริหารจัดการภาครัฐที่ขาดประสิทธิภาพยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ ควบคู่ไปกับกฎหมายไทยที่ ‘ล้าหลัง’ ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง

 

  1. โครงสร้างพื้นฐานด้านสังคมอ่อนแอ: แม้ไทยจะมีโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและโทรคมนาคม (5G) ที่ดี แต่โครงสร้างพื้นฐานด้านการศึกษา สาธารณสุข และสิ่งแวดล้อมกลับอยู่ในระดับต่ำมาก ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของคนไทยถดถอยลง

 

4 ทิศทางที่ต้องพัฒนาด่วน

 

  1. Economic Performance: กำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ (Strategic Sector) คือ เกษตรและอาหาร (Agri-food) และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness & Medical Tourism) เพื่อต่อยอดจากจุดแข็งเดิมของประเทศ

 

  1. Government Efficiency: สร้างความเชื่อมั่นในการทำงานของภาครัฐ ลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มจำนวนชนชั้นกลางเพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

 

  1. Business Efficiency: เพิ่มผลิตภาพของภาคธุรกิจ ผลักดัน SMEs ให้ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Innovation-Driven Enterprises) พร้อมพัฒนาทักษะที่จำเป็น (Upskill and Reskill) ให้กับแรงงาน

 

  1. Infrastructure: พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญา ระบบสาธารณสุข และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ผ่านการปฏิรูประบบการศึกษาที่เน้นทักษะเชิงกลยุทธ์

 

“วันนี้ไทยเดินมาถึงจุดที่รอไม่ได้อีกต่อไป ถึงเวลาต้องลงมืออย่างจริงจัง รัฐต้องแสดงบทบาทผู้นำ มีวิสัยทัศน์ระยะยาว เร่งแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนต้องเร่งปรับตัวและร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนวาระสำคัญของประเทศ” นิธิกล่าว

 

 

ดร.กอบศักดิ์ แนะ 4 เรื่องต้องรีบแก้ ก่อนบุญเก่าหมด

 

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไทยต้องทบทวน 4 เรื่องสำคัญ โดยเริ่มจากการกลับมาถามตัวเองว่า “เสน่ห์ของเราคืออะไร” เพราะในอดีตไทยเคยโดดเด่น แต่ปัจจุบันคู่แข่งกลับแซงหน้าไปในหลายด้าน

 

“หลายคนอาจไม่ทราบว่ามีสตาร์ทอัพจำนวนมากที่ดำเนินงาน (Operate) อยู่ในเมืองไทย แต่กลับเลือกไปจดทะเบียนที่สิงคโปร์ นี่คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงนโยบายที่ล้าหลังของเรา”

 

ดร.กอบศักดิ์ เสนอทางออกจาก 4 จุดอ่อน ดังนี้

 

  1. เปิดประเทศไทย (Open Thailand): สร้างโอกาสการลงทุนใหม่ๆ อย่างจริงจังเหมือนที่สิงคโปร์ทำได้

 

  1. ลอกคราบบริษัทไทย: ผลักดันให้ธุรกิจไทยทั้งขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก ปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีและรูปแบบธุรกิจให้ทันโลก เช่น กรณีของแป้งศรีจันทร์ การนำพลังการลงทุนจากต่างประเทศเป็นเพียงการซื้อเวลา สิ่งสำคัญคือคนของเราต้องพัฒนาและธุรกิจต้องกล้าปรับเปลี่ยน

 

  1. ‘คน’ คืออนาคตที่ถูกทำลาย: เวียดนามเน้นสร้างคนจนมียูนิคอร์น 7 ตัวและสตาร์ทอัพกว่า 20,000 แห่ง ขณะที่ไทยมีเพียง 3 ตัวและไม่เคยเพิ่มขึ้น ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากการสร้างคนที่ไม่มีคุณภาพ สะท้อนจากค่าไอคิวเฉลี่ยของเด็กไทยที่ 80-90 ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานสากล (100-110) ทำให้เราต้องตามแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ วนเวียนอยู่เช่นนี้ไม่จบสิ้น

 

  1. ความไม่ต่อเนื่องของนโยบาย: ไทยต้องก้าวข้ามกับดักที่ทุกรัฐบาลต้องการเริ่มนโยบายของตนเอง แต่ไม่มีอะไรสำเร็จจริงจัง ต้องสร้างพลังร่วมเพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง ไม่ว่ารัฐบาลไหนเข้ามาก็ต้องผลักดันโครงการสำคัญให้สำเร็จ

 

“บุญเก่าของไทยใกล้หมดแล้ว สัญญาณอันตรายดังขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ปรับเปลี่ยน เศรษฐกิจไทยก็จะย่ำอยู่กับที่ ตัวเลขการจัดอันดับจึงผันผวนและไม่ขยับไปข้างหน้าอย่างที่ควรจะเป็น นี่คือโค้งสุดท้ายของประเทศไทย ถ้าเราไม่เปลี่ยน ผลการจัดอันดับก็จะตกลงเรื่อยๆ”

 

โอกาสสุดท้ายบนโครงสร้างพื้นฐานใหม่

 

ดร.อธิพงศ์ หิรัญเรืองโชค ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์ฯ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า สิ่งแรกที่ไทยต้องทำคือการนำระบบดิจิทัลมาใช้ในภาครัฐเพื่อลดขั้นตอนและสร้างความโปร่งใสเหมือนเวียดนามและมาเลเซีย นอกจากนี้ ต้องเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางนวัตกรรม และเปิดรับความรู้จากต่างประเทศมาต่อยอด “เราควรเร่ง Upskill และ Reskill พัฒนาฝีมือบุคลากรในประเทศให้ตรงกับความต้องการภาคเอกชน”

 

ด้าน อรนุช เลิศสุวรรณกิจ Co-Founder and CEO, Techsauce มองว่า รัฐบาลต้องวางนโยบายโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีให้ชัดเจนกว่านี้ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมชิปและเซมิคอนดักเตอร์

 

“รัฐบาลควรประกาศทิศทางให้ชัดเจนเพื่อสร้างการตื่นตัว เราต้องให้ความสำคัญกับวงการศึกษาและ AI เหมือนที่สิงคโปร์ทำ ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ Gen Z เต็มไปด้วยคนเก่ง แต่ยังขาดเวทีและการต่อยอด หากไม่มีพื้นที่ให้พวกเขาแสดงความสามารถ คนเก่งก็จะไม่อยู่ในประเทศไทย”

 

อรนุชย้ำว่า การศึกษาคือหัวใจสำคัญ “บ้านเราทุกวันนี้ยังขาดความเชื่อมโยงของหลักสูตรตั้งแต่ประถมถึงมัธยม อยากให้มีการวางแผนที่เชื่อมโยงกันตั้งแต่ต้น ไม่เช่นนั้นอีก 20 ปีข้างหน้า เราก็จะกลับมาคุยกันเรื่องเดิม”

 

บทสรุปจากทุกเสียงสะท้อนตรงกันว่า ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนทางแยกที่สำคัญ การพึ่งพา ‘บุญเก่า’ ไม่ใช่ทางรอดอีกต่อไป แต่ทางรอดคือการ ‘ลงมือทำ’ อย่างจริงจังและมีวิสัยทัศน์ ทั้งภาครัฐที่ต้องสร้างเสถียรภาพและความต่อเนื่องทางนโยบาย ภาคเอกชนที่ต้องกล้าลอกคราบสู่โลกยุคใหม่ และการปฏิรูประบบการศึกษาเพื่อสร้าง ‘คน’ ที่มีคุณภาพให้เป็นรากฐานของอนาคต นี่คือโจทย์ใหญ่ที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ ก่อนที่โอกาสสุดท้ายของไทยจะหมดลง

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising