นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวภายหลังการบรรยายสรุปแก่คณะทูต ในวันนี้ (11 พฤศจิกายน) เกี่ยวกับพัฒนาการล่าสุดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดย สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วย เอกสิริ ปิณฑะรุจิ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และอธิบดีกรมเอเชียตะวันออก ได้เข้าร่วมในการบรรยาย
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแจ้งให้คณะทูตได้รับทราบถึงความคืบหน้าล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา สืบเนื่องจากเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดในพื้นที่ห้วยตะมาเรีย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา รวมถึงการดำเนินการต่างๆ ที่กระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการต่อไป
ผู้เข้าร่วมการบรรยายวันนี้ประกอบด้วยเอกอัครราชทูตและผู้แทนจาก 59 ประเทศ องค์กร 1 แห่ง และองค์การระหว่างประเทศ 4 แห่ง รวมทั้งหมด 71 คน
โดยสาระสำคัญของการบรรยาย แบ่งออกเป็น 4 ประเด็น ได้แก่
- เหตุการณ์ทุ่นระเบิดที่เกี่ยวข้องกับทหารไทย
- ประเด็นที่เกี่ยวกับถ้อยแถลงร่วมฯ ไทย-กัมพูชา
- การดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศ
- การลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่จังหวัดอุบลราชธานีและศรีสะเกษ
ประเด็นที่ 1
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งต่อคณะทูตถึงข้อเท็จจริงและข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด ซึ่งส่งผลให้เจ้าหน้าที่ไทยได้รับบาดเจ็บเพิ่มอีก 4 นาย โดยมีหนึ่งนายที่ได้รับความพิการถาวร
รัฐมนตรีว่าการฯ ได้อธิบายต่อคณะทูตว่า พื้นที่ที่เกิดเหตุเป็นเส้นทางลาดตระเวนปกติ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกฝ่ายกัมพูชารุกล้ำเข้ามา และจากการตรวจสอบในพื้นที่ พบเศษซากของทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ในหลุมระเบิดและบริเวณโดยรอบ รวมถึงพบทุ่นระเบิด PMN-2 เพิ่มเติมรอบบริเวณดังกล่าว
จากหลักฐานและการประเมินอื่นๆ ฝ่ายไทยยืนยันอีกครั้งว่า พบการลอบวางทุ่นระเบิดใหม่ภายในเขตแดนไทยโดยฝ่ายกัมพูชาภายหลังการหยุดยิงและการลงนามในถ้อยแถลงฯ ร่วม
ประเด็นที่ 2
เกี่ยวกับถ้อยแถลงฯ ร่วม รัฐมนตรีว่าการฯ ย้ำต่อคณะทูตว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับถ้อยแถลงฯ ร่วม และจำเป็นต้องมีความจริงใจและความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงจากทุกฝ่ายในการดำเนินการตามนั้น
ขณะที่รัฐมนตรีว่าการฯ ยังได้รายงานผลการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) วานนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อประเมินสถานการณ์หลังเหตุทุ่นระเบิด โดยแจ้งคณะทูตว่า ที่ประชุมรับทราบถึงความคืบหน้าที่สำคัญในการดำเนินการตามถ้อยแถลงฯ ร่วม พร้อมทั้งแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อการละเมิดถ้อยแถลงฯ ร่วม ของฝ่ายกัมพูชา จากการวางทุ่นระเบิดใหม่ภายในเขตแดนไทย
การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย ก่อให้เกิดการบาดเจ็บต่อเจ้าหน้าที่ไทย และสะท้อนถึงการละเมิดพันธกรณีของกัมพูชาภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรืออนุสัญญาออตตาวา ซึ่งกัมพูชาเป็นภาคีรัฐสมาชิก
ที่สำคัญที่สุด เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงการขาดความจริงใจของกัมพูชาในการลดความตึงเครียด ดังนั้น รัฐมนตรีว่าการฯ จึงได้แจ้งต่อคณะทูตว่า ประเทศไทยไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้อง ‘ระงับ’ การดำเนินการตามถ้อยแถลงร่วมฯ รวมถึงเลื่อนการปล่อยตัวทหารกัมพูชา 18 นายออกไปก่อน พร้อมทั้งเรียกร้องให้กัมพูชาดำเนินการ 3 ประการ คือ
- แสดงความเสียใจอย่างจริงใจต่อครอบครัวของผู้บาดเจ็บ
- ดำเนินการสอบสวนอย่างละเอียด และนำผู้เกี่ยวข้องมารับผิด
- จัดให้มีมาตรการที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต
โดยข้อเรียกร้องทั้งหมดนี้ ยังได้มีการประสานไปยังคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ด้วย
ขณะที่ฝ่ายไทยจะพิจารณาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการกลับมาดำเนินการตามถ้อยแถลงร่วมฯ อีกครั้ง ก็ต่อเมื่อฝ่ายกัมพูชาแสดงความรับผิดชอบและยุติการกระทำที่เป็นปรปักษ์โดยสิ้นเชิง
ประเด็นที่ 3
ส่วนเรื่องการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการฯ แจ้งต่อคณะทูตว่า ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว ได้มีการติดต่อโดยตรงกับ ปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาเพื่อประท้วงเบื้องต้นเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ โดยมีการติดต่อ 2 ครั้ง ครั้งแรกขณะอยู่ที่ฮ่องกงในวันที่ 10 พฤศจิกายน และอีกครั้งวานนี้
ซึ่งทางกระทรวงการต่างประเทศ ยังได้ส่งหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการไปยังฝ่ายกัมพูชา ผ่านทางสถานทูตกัมพูชาในกรุงเทพฯ ซึ่งได้รับหนังสือเมื่อวานนี้แล้ว
โดยต่อจากนี้ ประเทศไทยจะดำเนินการตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาออตตาวาโดยจะจัดทำรายงานส่งถึงญี่ปุ่นในฐานะประธานการประชุมรัฐภาคีของอนุสัญญาออตตาวาในปัจจุบัน รวมทั้งรายงานต่อเลขาธิการสหประชาชาติ
ซึ่งการประชุมรัฐภาคีครั้งที่ 22 จะจัดขึ้นที่นครเจนีวา ของสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 1-5 ธันวาคมที่จะถึงนี้
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการฯ ยังได้แจ้งให้คณะทูตทราบว่า ประเทศไทยจะนำเสนอข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ต่อประชาคมระหว่างประเทศ รวมทั้งจุดยืนของไทยในเรื่องนี้
โดยจะส่งบันทึกทางการทูตถึงสหรัฐอเมริกา และมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน ซึ่งทั้งสองประเทศเป็นพยานในการลงนามในถ้อยแถลงร่วมฯ พร้อมกับจัดการบรรยายสรุปต่อคณะทูตเป็นระยะๆ เช่นเดียวกับในวันนี้
ขณะที่ไทยจะส่งเอกสารนี้ไปยังประเทศสมาชิกอาเซียนทุกประเทศ และสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ของไทยทั่วโลก จะติดต่อกับรัฐบาลเจ้าบ้านเพื่ออธิบายและชี้แจงจุดยืนของไทยเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้
ในเวลาเดียวกัน หน่วยงานด้านความมั่นคงจะยังคงให้ข้อมูลโดยละเอียดแก่คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน และจะเชิญไปเยี่ยมพื้นที่เกิดเหตุในโอกาสแรกที่สามารถทำได้
ประเด็นที่ 4
ส่วนเรื่องการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่จังหวัดอุบลราชธานีและศรีสะเกษ วานนี้ รัฐมนตรีว่าการฯ ได้เล่าความประทับใจต่อคณะทูตเกี่ยวกับการลงพื้นที่ พร้อมรายงานรายละเอียดของการเยือน
การลงพื้นที่ครั้งนี้เปิดโอกาสให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการฯ ได้รับข้อมูลสถานการณ์ชายแดนจากภาคสนามโดยตรง รวมทั้งได้ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และทหารแนวหน้าในพื้นที่ฐานปฏิบัติการบ้านภูมะเขือ และเยี่ยมทหารที่บาดเจ็บจากเหตุทุ่นระเบิดซึ่งกำลังพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลค่ายสุรสีห์
ทั้งนี้ คณะทูตยังได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการของไทย นอกเหนือจากที่แถลงไปแล้ว รัฐมนตรีว่าการฯ ได้ให้คำตอบว่า จากนี้ไป ขอสงวนสิทธิ์ที่จะดำเนินการตามความจำเป็นเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และไทยจะดำเนินการตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ในพื้นที่
นอกจากนี้ยังมีคำถามว่า สถานะของถ้อยแถลงร่วมฯ ถือว่าไทยฉีกทิ้งหรือไม่ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการฯ ตอบว่า ณ ปัจจุบัน ถือว่าไทย ระงับ หรือภาษาอังกฤษใช้คำว่า Pause
แต่เมื่อคำนึงถึงความรู้สึกของคนไทย จึงยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถคงสถานะของการระงับไว้ได้นานแค่ไหน ซึ่งย่อมขึ้นอยู่กับท่าทีและการตอบสนองของฝ่ายกัมพูชา ต่อข้อเรียกร้องของไทย
“กระทรวงการต่างประเทศขอให้ประชาชนมั่นใจ ว่าประเทศไทยยังคงยึดมั่นในสันติวิธี กระทรวงการต่างประเทศยังยึดมั่นในสันติวิธี ซึ่งเป็นหลักการที่เรายึดมาโดยตลอด ในขณะเดียวกัน รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย จะดำเนินการอย่างรอบด้านและเต็มกำลังเพื่อธำรงไว้ซึ่งอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และความมั่นคง ปลอดภัย ของพี่น้องคนไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุดตลอดมา” นิกรเดช กล่าว และเสริมว่า
“ประเทศไทยเน้นย้ำความคาดหวังต่อกัมพูชา ให้แสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความจริงใจและสุจริตใจ และสร้างความเชื่อมั่นให้ไทยและประชาคมโลกเห็นว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก และกัมพูชาจะปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ ที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้ตกลงกันไว้”


