×

สรุปไทม์ไลน์ปมขัดแย้งล่าสุดไทย-กัมพูชา สู่การระงับปฏิญญาร่วม และแรงกดดันจากภาษีทรัมป์

17.11.2025
  • LOADING...
สรุปไทม์ไลน์ปมขัดแย้งล่าสุด ไทย-กัมพูชา สู่การระงับปฏิญญาร่วม และแรงกดดันจากภาษี ทรัมป์

การประกาศระงับปฏิญญาร่วมไทย-กัมพูชา ภายหลังเกิดเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดระหว่างลาดตระเวนในพื้นที่ชายแดน บริเวณห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา กลายเป็นประเด็นร้อนที่กำลังถูกจับตามอง ว่าอาจขยายวงกว้างจนเกินกว่าจะเป็นเพียงปัญหาระหว่างสองประเทศหรือไม่ หลังปรากฏสัญญาณจากสหรัฐฯ ในฐานะสักขีพยานการลงนามปฏิญญาร่วม ที่อาจใช้การเจรจาภาษีการค้าเป็นเครื่องมือบีบให้ไทยกลับเข้าปฏิญญาร่วม แม้ว่าล่าสุดรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล จะยืนยันว่า รัฐบาลวอชิงตันจะไม่นำประเด็นการระงับปฏิญญาดังกล่าว มาเกี่ยวข้องกับการเจรจาภาษีการค้าระหว่างไทยและสหรัฐ

 

อย่างไรก็ตาม ข่าวการระงับเจรจาภาษีการค้าไทย-สหรัฐฯ ที่ปรากฏเมื่อหลายวันที่ผ่านมา อาจสร้างความสับสนเล็กน้อยให้แก่ประชาชน ซึ่งต้องการความชัดเจนว่า สรุปแล้วตอนนี้ การเจรจาภาษีระหว่างไทยและสหรัฐฯ ได้กลายมาเป็นตัวแปรในปัญหาระหว่างไทยและกัมพูชารอบนี้หรือไม่

 

และนี่คือไทม์ไลน์ของสถานการณ์ทั้งหมดจนถึงขณะนี้

 

10 พฤศจิกายน

 

  • ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดระหว่างการลาดตระเวน บริเวณห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บ 4 นาย ในจำนวนนี้ 1 นายข้อเท้าขาด โดยถือเป็นทหารไทยที่สูญเสียขาจากทุ่นระเบิดเป็นรายที่ 7 นับตั้งแต่เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม

 

  • พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกแถลงยืนยันว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างที่กำลังพลปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนบนเส้นทางที่ใช้เป็นประจำ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเคยเป็นจุดที่ทหารกัมพูชาเคยรุกล้ำเข้ามาวางกำลัง ก่อนจะถอนกำลังออกไปภายหลังเหตุปะทะที่ผ่านมา

 

  • โดยหลังจากทหารกัมพูชาถอนกำลังออกไปแล้ว ฝ่ายไทยได้เข้าควบคุมพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม พร้อมทั้งได้ดำเนินการเสริมความมั่นคงพื้นที่ ด้วยการกวาดล้างทุ่นระเบิด วางเครื่องกีดขวางลวดหนาม และลาดตระเวนเฝ้าตรวจอย่างต่อเนื่อง และต่อมาเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ตรวจพบว่าแนวลวดหนามที่วางไว้ถูกลักลอบเข้ามารื้อถอน จากนั้นในวันที่ 10 พฤศจิกายน เวลาประมาณ 08.30 น. หน่วยในพื้นที่จึงได้จัดกำลังชุดลาดตระเวนร่วมกับชุดทหารช่าง เข้าพิสูจน์ทราบบริเวณแนวลวดหนามที่ถูกรื้อถอน จนเกิดเหตุกำลังพลเหยียบทุ่นระเบิดดังกล่าว

 

11 พฤศจิกายน

 

  • อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่ทำเนียบรัฐบาลในวันรุ่งขึ้นทันที หลังเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด ก่อนจะประกาศระงับปฏิญญาร่วมไทย-กัมพูชา ออกไปอย่างไม่มีกำหนด ขณะที่พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนยืนยันว่าไทยระงับการปฏิบัติตามปฏิญญาความร่วมมือทุกข้อ และยุติการส่งเชลยศึกให้กัมพูชา

 

  • หลังจากนั้น เขาได้ลงพื้นที่ ฐานปฏิบัติการห้วยตามาเรีย จ.ศรีสะเกษ ต่อด้วยขึ้นภูมะเขือ และได้ไปเยี่ยมทหารที่เหยียบทุ่นระเบิด ณ โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี

 

12 พฤศจิกายน

 

  • สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วยปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เชิญคณะทูตต่างประเทศเข้ารับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยยืนยันว่าไทยให้ความสำคัญกับปฏิญญาร่วมในฐานะแนวทางที่จะนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน แต่จำเป็นต้องระงับไปเนื่องจากพฤติกรรมที่ไม่จริงใจของกัมพูชา ซึ่งคณะทูตไม่ได้แสดงความกังวลหรือไม่เห็นด้วยต่อท่าทีของไทย

 

  • หลังจากนั้นในช่วงเย็น ปรากฏเหตุการณ์ที่ทำให้สถานการณ์ชายแดนตึงเครียดมากขึ้นอีก ภายหลังกองทัพภาคที่ 1 เปิดเผยว่าได้รับรายงานจากกองกำลังบูรพา ว่ามีเหตุการณ์ยิงปะทะกันในบริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ในเวลา 16.10 น. โดยฝ่ายทหารกัมพูชาใช้อาวุธปืนคาดว่าเป็นอาวุธปืนเล็ก AK-47 ยิงมาฝั่งไทยประมาณ 30 นัด ซึ่งกองกำลังบูรพาได้ยิงเตือนและดำเนินการโต้ตอบราว 10 นาที ก่อนที่สถานการณ์จะสงบลง โดยฝ่ายไทยไม่มีการสูญเสีย

 

  • กระทรวงการต่างประเทศออกแถลงการณ์ประณามกัมพูชา ระบุว่าฝ่ายกัมพูชาใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ และยืนยันว่าการดำเนินการของฝ่ายไทยเป็นไปเพื่อปกป้องอธิปไตยและป้องกันตนเองตามกฎหมายระหว่างประเทศ

 

  • อย่างไรก็ตาม สื่อและทางการกัมพูชารายงานในทางตรงกันข้าม โดยระบุว่า ทหารไทยยิงพลเรือนกัมพูชาในหมู่บ้านเปรยจัน จ.บันเตียเมียนเจย จนทำให้มีผู้บาดเจ็บ 5 คน

 

  • จากนั้นราว 17.00 น. พลโท มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ออกแถลงการณ์ประณามไทยและกล่าวหาทหารไทย ว่าเปิดฉากยิงใส่พลเรือนกัมพูชาในเวลาประมาณ 15.50 น. ขณะที่อ้างว่าการโจมตีเกิดขึ้นหลังจากที่ทหารไทยมีท่าทียั่วยุหลายครั้งในช่วงหลายวันที่ผ่านมา

 

13 พฤศจิกายน

 

  • สถานการณ์ที่ร้อนแรงขึ้น ส่งผลให้อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โทรศัพท์สายตรงถึงนายกรัฐมนตรีอนุทิน และนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา รวมถึงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ก่อนจะโพสต์ข้อความทาง Facebook ระบุว่า “ผู้นำไทยและกัมพูชาได้ให้ข้อเสนอแนะในเชิงบวกและยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการแสวงหาแนวทางแก้ไขโดยสันติตามความเข้าใจที่ตกลงกันภายใต้ปฏิญญาร่วม พร้อมย้ำจุดยืนของมาเลเซียในการส่งเสริมมิตรภาพและการหยุดยิงระหว่างทั้งสองประเทศ

 

14 พฤศจิกายน

 

  • ผู้นำมาเลเซียยังคงโพสต์ข้อความและรูปภาพ โดยระบุว่าได้โทรศัพท์พูดคุยกับฮุน มาเนต เพื่อประเมินความคืบหน้าของสถานการณ์ขัดแย้งไทย-กัมพูชา และชื่นชมกัมพูชาว่าเลือกเส้นทางสันติและให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาผ่านการปรึกษาหารือและการเจรจาอย่างสร้างสรรค์ ขณะที่เผยว่าได้พูดคุยกับทรัมป์ โดยยืนยันความพร้อมของไทยและกัมพูชาในการเจรจาและความพยายามแก้ไขปัญหาด้วยวิธีทางการทูต และยืนยันว่าทั้งสองประเทศได้ถอนอาวุธหนักออกจากชายแดนตามแนวทางที่ตกลงกันในกรอบปฏิญญาร่วม

 

  • ด้านกองบัญชาการกองทัพไทยจัดประชุมชี้แจงสถานการณ์ความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเชิญคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย (MAC-T) จาก 18 ประเทศ เข้ารับฟังข้อมูล โดยเฉพาะกรณีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดซ้ำหลายครั้งในพื้นที่ห้วยตามาเรีย และมีการนำเสนอหลักฐานเชิงประจักษ์และทางนิติวิทยาศาสตร์ที่ ยืนยันได้ว่าเป็นการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลใหม่ของฝ่ายกัมพูชา

 

15 พฤศจิกายน

 

  • ประธานาธิบดีทรัมป์ เผยว่า “ได้พูดคุยกับนายกรัฐมนตรีไทยและกัมพูชาแล้ว” และชื่นชมทั้งสองฝ่ายว่าทำได้ดีมาก และเชื่อว่าจะไม่มีอะไร”

 

  • นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลการพูดคุยระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทยและมาเลเซีย โดยชี้ว่าผู้นำมาเลเซียได้แสดงความเข้าใจและตอบรับที่จะไปช่วยหาแนวทางให้กระบวนการสันติภาพเดินหน้าต่อไปได้ โดยคำนึงถึงข้อเสนอของฝ่ายไทย ขณะที่นายกรัฐมนตรีอนุทิน ได้แจ้งต่ออันวาร์ ว่าไทยได้เน้นย้ำกับสหรัฐฯ ว่าการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเป็นหัวใจสำคัญของข้อตกลงที่ปรากฏในปฏิญญาร่วม

 

  • โฆษกกระทรวงการต่างประเทศยังแถลงว่า ได้รับแจ้งจากรองผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ ว่า ฝ่ายสหรัฐฯ “ขอระงับการเจรจา” กรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างไทยกับสหรัฐฯ (Agreement on Reciprocal Trade Framework) เป็นการชั่วคราว และจะสามารถกลับมาเจรจาความตกลงดังกล่าวได้อีกครั้ง เมื่อฝ่ายไทยได้ให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตาม Joint Declaration และหวังว่าจะสามารถหาทางออกในเรื่องนี้ได้โดยเร็ว

 

  • โดยไทยแสดงความผิดหวังในท่าทีจากผู้แทนการค้าสหรัฐฯ และย้ำว่าไทยได้ยืนยันมาโดยตลอดว่า ประเด็นเรื่องความมั่นคงและความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่เป็นประเด็นทวิภาคีระหว่างไทยกับกัมพูชา ต้องพิจารณาแยกออกจากประเด็นการค้า

 

  • ทางด้านทรัมป์ ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวบนเครื่องบินแอร์ ฟอร์ซ วัน ขณะบินไปฟลอริดา ระบุว่าได้ใช้คำขู่เรื่อง ‘ภาษีศุลกากร’ ในการโทรศัพท์พูดคุยกับผู้นำไทยและกัมพูชา

 

16 พฤศจิกายน

 

  • อนุทิน ได้โพสต์ข้อความผ่าน Facebook ในเวลา 01.44 น. เปิดเผยว่าได้โทรศัพท์พูดคุยกับอันวาร์ อีกครั้งในช่วงค่ำของวันที่ 15 พฤศจิกายน โดยระบุว่า ทรัมป์มีความเห็นตรงกันกับจุดยืนของเขา เรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมและขอให้รัฐบาลไทยเร่งดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดให้เร็วที่สุด ขณะที่ทรัมป์ ยังได้ยืนยันฝากนายกรัฐมนตรีอันวาร์ให้มาแจ้งเขาอีกครั้งว่า “สหรัฐอเมริกาจะไม่นำประเด็นการระงับปฏิญญาร่วมของไทยมาเกี่ยวข้องกับการเจรจาภาษีการค้าระหว่างไทยและสหรัฐที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้”

 

  • ด้านสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักงานนายกรัฐมนตรี แถลงชี้แจง ย้ำว่า การระงับเจรจาภาษีการค้าชั่วคราวดังกล่าว เกิดขึ้นก่อนการโทรศัพท์พูดคุยระหว่างอนุทินและทรัมป์ในช่วงค่ำวันศุกร์

 

  • ขณะที่อันวาร์ ก็ได้โพสต์ข้อความว่าได้โทรศัพท์หารือกับทรัมป์ อนุทิน และฮุน มาเนต โดยยืนยันถึงความมุ่งมั่นของเราในการทำให้มั่นใจว่า ปฏิญญาร่วมจะมีผลบังคับใช้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ และเห็นพ้องร่วมกันว่าจะต้องมีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญในประเด็นการถอนอาวุธหนักและการจัดทุ่นระเบิด โดยไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องความร่วมมือทางการค้าใดๆ พร้อมทั้งขอบคุณทรัมป์ ที่มีส่วนร่วมในการส่งเสริมการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชาโดยสันติ

 

17 พฤศจิกายน

 

  • ทางด้านดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เผยว่า ทีมยุทธศาสตร์การเจรจาได้มีการประชุมนอกรอบกันในช่วงเช้าวันนี้ ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงต่างประเทศ และทีมงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เพื่อยืนยันว่า การเจรจายังคงเดินหน้าตามกรอบเดิม โดยไทยยังคงยึดหลักการแยกการค้าออกจากการเมือง ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีการหารือกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ

 

  • ส่วนประเด็นที่สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ประกาศระงับการเจรจาการค้ากับไทย จนกว่าไทยจะปฏิบัติตามปฏิญญาร่วมไทย-กัมพูชา นั้น ดร.เอกนิติกล่าวว่า “น่าจะส่งมาก่อนที่อนุทินจะคุยกับทรัมป์ ดังนั้น จึงขอให้ยึดการหารือเป็นแนวข้อมูลล่าสุด

 

  • กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ว่านายกรัฐมนตรี มีหนังสือถึงผู้นำสหรัฐฯ และมาเลเซีย เพื่อชี้แจงว่า “ไทยยึดมั่นในเส้นทางแห่งสันติภาพ โดยเคารพและปฏิบัติตามปฏิญญาร่วม มาโดยตลอด แต่การที่กัมพูชาละเมิดปฏิญญาร่วมก่อน ทำให้ไทยต้องสงวนสิทธิดำเนินการตามความจำเป็น เพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน”

 

  • ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็ได้ทำการประท้วงต่อกรณีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดและเหตุการณ์ปะทะที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ไปยังรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาโดยตรง และกระทรวงการต่างประเทศยังได้มีหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการไปยังกัมพูชาในทั้ง 2 กรณี

 

  • ด้านเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ได้มีหนังสือประท้วงต่อกัมพูชาไปยังญี่ปุ่น ในฐานะประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) โดยขอให้เวียนรัฐภาคีทราบ

 

  • ขณะที่เชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ได้มีหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติ แจ้งเรื่องการวางทุ่นระเบิดใหม่ของกัมพูชา รวมถึงการยั่วยุโดยฝ่ายกัมพูชาที่บ้านหนองหญ้าแก้ว โดยชี้ว่าเป็นการยั่วยุที่บ่อนเซาะความไว้วางใจ ทำให้ไทยต้องระงับปฏิญญาร่วม พร้อมขอประชาคมโลกกดดันกัมพูชาให้ยุติการกระทำในทันที

 

  • โดยเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ยังได้มีหนังสือประท้วงต่อกัมพูชาไปยังเซียร์ราลีโอน ในฐานะประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council: UNSC) เกี่ยวกับทั้งสองเหตุการณ์ ที่กัมพูชาละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย กฎบัตรสหประชาชาติ พันธกรณีภายใต้อนุสัญญาออตตาวา และปฏิญญาร่วม พร้อมทั้งขอให้เวียนหนังสือดังกล่าวให้รัฐสมาชิก UNSC ทราบด้วย
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising