วันนี้ (25 กรกฎาคม) พล.ร.ต. สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะโฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) แถลงผลการประชุม ศบ.ทก. ว่า ขอแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้นต่อพี่น้องประชาชนชาวไทย จากการโจมตีของฝ่ายกัมพูชาซึ่งเริ่มยิงมายังกำลังฝ่ายไทยเมื่อช่วงเช้าวันที่ 24 กรกฎาคม ตามที่ปรากฏเป็นข่าว ทำให้ฝ่ายไทยจำเป็นต้องตอบโต้จากการปะทะดังกล่าว ซึ่งเป็นเหตุที่ไม่คาดคิดทำให้ไม่สามารถจะเตือนไปยังประชาชนล่วงหน้าได้
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การปะทะยังมีอยู่อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน จึงอยากแจ้งเตือนประชาชนทั้งสองประเทศ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสู้รบที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในพื้นที่ตามแนวชายแดนของทั้งสองฝั่งให้อพยพออกจากพื้นที่ เพื่อลดหรือป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้
พล.ร.ต. สุรสันต์กล่าวอีกว่า สำหรับยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บของฝ่ายไทยที่เป็นพลเรือน ณ วันที่ 25 กรกฎาคม เวลา 09.00 น. พบว่า มีพลเรือนเสียชีวิตทั้งหมด 14 ราย บาดเจ็บสาหัส 7 ราย บาดเจ็บปานกลาง 13 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย 11 ราย รวมทั้งสิ้น 45 ราย ทั้งนี้ ทางกระทรวงมหาดไทย ได้ทำการอพยพประชาชนใน 4 จังหวัด ประกอบด้วย สุรินทร์ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ และบุรีรัมย์ไปแล้วกว่า 130,000 คน คิดเป็น 100% โดยจัดเตรียมศูนย์พักพิงอพยพผู้ลี้ภัย ซึ่งสามารถรองรับประชาชนได้มากกว่า 300,000 คน รวมทั้งจัดชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) เพื่อดูแลความปลอดภัยและทรัพย์สินให้แก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่
นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้อพยพผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ออกจากโรงพยาบาลที่อยู่ในรัศมีของการโจมตีที่ได้รับผลกระทบรวมทั้งสิ้น 11 แห่ง โดย 4 แห่งในจำนวนนี้ได้ปิดทำการไปโดยปริยาย เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการถูกโจมตี
พล.ร.ต. สุรสันต์กล่าวอีกว่า การโจมตีของกัมพูชาไปยังสถานที่ต่างๆ เช่น โรงพยาบาลซึ่งถือเป็นพื้นที่ที่ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เป็นการละเมิดต่ออนุสัญญาเจนีวา และเป็นการปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรม ซึ่งทางฝ่ายไทยขอประท้วงและประณามอย่างรุนแรง
ส่วนความคืบหน้าสถานการณ์การปะทะ ณ เวลา 08.30 น. ของวันนี้ (25 กรกฎาคม) ทางฝ่ายกัมพูชายังมีการใช้อาวุธหนักและอาวุธยิงสนับสนุนระยะไกล โจมตีขอบหน้าพื้นที่การปะทะ และพื้นที่ส่วนหลังของฝ่ายไทย ทำให้พื้นที่อยู่อาศัยและโรงพยาบาลได้รับผลกระทบ โดยยังคงมีปะทะอยู่ในพื้นที่ทั้งหมด 12 แห่ง อาทิ พื้นที่ช่องบก พื้นที่ช่องอานม้า พื้นที่ซำแต พื้นที่ภูผี พื้นที่ช่องตาเฒ่า พื้นที่เขาพระวิหาร บริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ พื้นที่ภูมะเขือ พื้นที่ช่องจอม พื้นที่ปราสาทตาควาย และพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม
พล.ร.ต.สุรสันต์กล่าวว่า ที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) วาระพิเศษ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ได้มีมติ ดังนี้ 1. อนุมัติให้กองทัพดำเนินการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย 2.ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้การดูแลพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ โดยพิจารณาจากกลไกช่วยเหลือเพิ่มเติม 3.ให้กระทรวงการต่างประเทศทำการประท้วงและประณามการกระทำของกัมพูชาที่ละเมิดต่ออธิปไตยของไทย และละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ 4. ศบ.ทก. บริหารจัดการชายแดน และให้ข้อมูลข่าวสารข้อเท็จจริง โดยบูรณาการร่วมกับกองทัพ กระทรวงการต่างประเทศ สมช. กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ ในที่ประชุมได้มีการรายงานไปที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีมติเห็นชอบ 3 เรื่อง ได้แก่ 1.ให้กระทรวงการต่างประเทศลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา 2.ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ 3.กระทรวงการคลังพิจารณามาตรการทางภาษีเพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์
ด้าน มาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า การสูญเสียครั้งนี้ของพลเรือนบริสุทธิ์ ยังมีการเสียชีวิตของเด็กที่นอกจากจะละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศแล้ว ยังเป็นการละเมิดศีลธรรมและความเป็นมนุษย์ ควรจะได้รับการประณามอย่างเต็มที่โดยประชาคมระหว่างประเทศ ขอย้ำว่าการตอบโต้ของฝ่ายไทยจะมีความชัดเจนและมีความเหมาะสมในการป้องกันตนเองตามข้อ 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ
มาระตีกล่าวว่า ที่ประชุม ศบ.ทก. วันนี้ ได้หารือ 5 ประเด็น ประกอบด้วย 1. กระทรวงต่างประเทศได้ออกแถลงการณ์ประณามการกระทำของกองทัพกัมพูชาและได้ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต ด้วยการเรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชากลับประเทศไทย และขอให้เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยกลับประเทศเช่นกัน
การกระทำของกัมพูชาเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงโดยเกิดขึ้นซ้ำๆ นับตั้งแต่กรณีทหารไทยเหยียบกับระเบิดเมื่อวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม ซึ่งรัฐบาลไทยเรียกร้องให้กัมพูชาแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยุติการโจมตีเป้าหมาย ทั้งทางทหารและโดยเฉพาะพลเรือน รวมถึงยุติการละเมิดอธิปไตยของไทยโดยทันที
“รัฐบาลไทยพร้อมที่จะยกระดับมาตรการป้องกันตนเองหากกัมพูชายังไม่ยุติการกระทำที่เป็นการโจมตีทางอาวุธและละเมิดอธิปไตยของไทยตามหลักสากลและกฎหมายระหว่างประเทศ” มาระตีกล่าว
- ที่ประชุมหารือถึงการเตรียมแผนช่วยเหลือคนไทยที่อยู่ในประเทศกัมพูชาร่วมกับภาคเอกชนกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ซึ่งทุกภาคส่วนได้ยืนยันความพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือและความร่วมมืออย่างเต็มที่ เพื่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยของประชาชนไทยที่อยู่ในกัมพูชาทุกคน
- การส่งหนังสือถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ตอบโต้ฝ่ายกัมพูชา ตามที่ปรากฏในรายงานข่าวว่า ฝ่ายกัมพูชาได้ส่งหนังสือถึงประธาน UNSC ขอให้เรียกประชุมด่วน เพื่อยุติเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมกล่าวหาว่าไทยเป็นฝ่ายรุกรานอธิปไตยของกัมพูชา ซึ่งเป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง
กระทรวงต่างประเทศได้มีหนังสือถึง UNSC เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเช่นกัน ไทยมีหลักฐานว่าฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน และมีการใช้ความรุนแรงจนพลเรือนฝ่ายไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก เป็นการรุกรานอธิปไตยเป็นที่ประจักษ์อย่างชัดเจน และขอให้ประธาน UNSC เวียนหนังสือของฝ่ายไทยให้สมาชิกทุกประเทศได้รับทราบด้วย
ทั้งนี้ วันนี้ในเวลา 15.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของนครนิวยอร์ก UNSC จะจัดประชุมแบบปิด เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งไม่ใช่เป็นการประชุมเพื่อลงมติใดๆ เป็นเพียงการหารืออย่างไม่เป็นทางการ โดยเชิญคู่กรณีพร้อมกับสมาชิก 15 ประเทศ ทั้งสมาชิกถาวรและไม่ถาวรไปให้ข้อมูล สำหรับฝ่ายไทยจะเป็นเอกอัครราชทูตที่ประจำอยู่ที่นครนิวยอร์ก คาดว่า ที่ประชุม UNSC อาจจะมีการแถลงการณ์เพิ่มเติม แต่คงไม่ใช่มติของที่ประชุม เพื่อที่จะเรียกร้องให้ยุติการปะทะกัน โดยเฉพาะเป้าหมายที่เป็นพลเรือน ซึ่งเป็นหลักสำคัญของที่ประชุม
- สื่อต่างประเทศมีความสนใจและติดตามสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทราบว่าได้มีการส่งทีมงานของสำนักข่าวต่างประเทศลงในพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูล ติดตามสถานการณ์ และรายงานให้ประชาคมโลกได้รับทราบ และในวันนี้ (25 กรกฎาคม) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศมีกำหนดให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศ ขอให้มั่นใจได้ว่ากระทรวงต่างประเทศกำลังทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อสื่อสารเรื่องราวและท่าทีของไทยไปสู่ต่างประเทศอย่างชัดเจนอยู่ตลอดเวลา
- กรณีมีข่าวปลอมซึ่งเป็นเอกสารของกระทรวงวัฒนธรรมและวิจิตรศิลป์แห่งกัมพูชาออกแถลงการณ์ประณามกองทัพไทยว่า ได้กระทำการรุกรานสร้างความเสียหายให้ตัวปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกนั้น ขอยืนยันว่า การปะทะกันระหว่างกองกำลังไทยกับกัมพูชาในวันที่ 24 กรกฎาคม กัมพูชาเป็นฝ่ายที่ยิงก่อน เกิดขึ้นที่เขาพระวิหาร (บริเวณห้วยตามาเรีย-ภูมะเขือ) ห่างจากตัวปราสาทพระวิหารถึง 12 กิโลเมตร จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีกระสุนหรือสะเก็ดระเบิดไปไกลถึงปราสาทพระวิหาร
นอกจากนี้ยังมีรายงานข่าวปลอมจากสำนักข่าวต่างประเทศรายหนึ่งนำเสนอภาพการโจมตีเซเว่นอีเลฟเว่นในปั๊ม ปตท.ในประเทศไทย ว่าเกิดขึ้นในกัมพูชา ขอยืนยันว่าทางกระทรวงการต่างประเทศจะเดินหน้าติดตามข่าวปลอมในลักษณะนี้ต่อไป เพื่อทำความเข้าใจและชี้แจงกับสำนักข่าวต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง