ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา (2015-2023) ชื่อของ ประเทศไทย ยังคงถูกนับเป็นหนึ่งในชาติผู้นำของอาเซียนบนเวทีซีเกมส์
แม้จะไม่ได้กวาดเหรียญทองถล่มทลายเหมือนยุคทองในอดีต แต่ผลงานตลอด 10 ปีหลังยังสะท้อนถึงความแข็งแกร่งที่ไม่เคยจางหายไป
ไทยคว้าอันดับ 1 บนตารางเหรียญรวมได้ 1 ครั้ง (ปี 2015 ที่สิงคโปร์) ครองอันดับ 2 ถึง 4 ครั้ง และอันดับ 3 อีก 1 ครั้ง
แม้จำนวนเหรียญทองเฉลี่ยต่อสมัยลดลงจากหลักร้อย เหลือราว 70-100 เหรียญ แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยคือ ไทยยังไม่เคยหลุดจากกลุ่ม “ท็อป 3” ของภูมิภาคแม้แต่ครั้งเดียว
จากเจ้าซีเกมส์…สู่ความท้าทายในยุคใหม่
กว่าสองทศวรรษที่ชื่อของ ประเทศไทย ถูกจารึกอยู่บนยอดตารางเหรียญซีเกมส์แทบทุกครั้ง เราคือ ‘เจ้าซีเกมส์’ ตัวจริง ชาติที่เคยกวาดเหรียญได้เป็นร้อยต่อสมัย และมักทิ้งห่างคู่แข่งอย่างขาดลอย
แต่ในรอบสิบปีหลังสุด บัลลังก์แห่งอาเซียนเริ่มสั่นไหว เมื่อ เวียดนาม, มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ทยอยไล่จี้ขึ้นมาอย่างน่าจับตา
ในปี 2017 ไทยได้อันดับ 2 ของตารางเหรียญรวม โดยแพ้เจ้าภาพมาเลเซียเกือบครึ่ง (145 ต่อ 72 เหรียญทอง) และในปี 2021-2023 เวียดนามก็ก้าวขึ้นมาครองบัลลังก์ 2 สมัยซ้อน
นี่ไม่ใช่สัญญาณของความตกต่ำ หากแต่เป็นการเปลี่ยนสมการ ของการแข่งขันในระดับภูมิภาค ที่สะท้อนอย่างตรงไปตรงมาว่า การแข่งขันมีความเข้มข้นมากขึ้น
เมื่อชาติอื่นเริ่มมองซีเกมส์ เป็นเวทีพัฒนาระบบฝึกซ้อม และไทยก็เลือกจะยืนอยู่ในเกมนี้อย่างมีเป้าหมายใหม่ ที่มุ่งเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ และสร้างมาตรฐานกีฬาให้ยั่งยืนในระดับอาเซียน
กีฬาสากล จุดแข็งที่ไทยต้องรักษา
ในบรรดาชาติอาเซียน ไทยยังคงเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งที่สุดใน “กีฬาสากล” ชนิดกีฬาที่ใช้แข่งขันในโอลิมปิกหรือเอเชียนเกมส์ ไม่ว่าจะเป็น มวยสากลสมัครเล่น, เทควันโด, ยกน้ำหนัก, กรีฑา, หรือแบดมินตัน ไทยยังคงเก็บเหรียญได้ต่อเนื่อง
ในกีฬาประเภทต่อสู้อย่าง มวยสากลสมัครเล่น และ เทควันโด ไทยยังคงเป็นเหมืองทองคำสำคัญ ไม่เพียงประสบความสำเร็จในระดับอาเซียน แต่ยังสร้างชื่อเสียงไกลถึงเวทีโลกและโอลิมปิกเกมส์ ที่ยังคงเป็นความภาคภูมิของชาติ
ด้าน กรีฑาและว่ายน้ำ คืออีกสองสมรภูมิที่สะท้อนคุณภาพการพัฒนาไทยแม้จะไม่ได้กวาดเหรียญเหมือนในอดีต แต่เรายังยืนอยู่ในกลุ่มผู้นำของภูมิภาคโดยเฉพาะ บิว-ภูริพล บุญสอน สปรินเตอร์หนุ่มผู้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังใหม่ของวงการวิ่งไทย และอาจรวมถึงเอเชีย
โอกาสแห่งกีฬาพื้นบ้าน
ในอีกมุมหนึ่ง ไทยเริ่มเสียพื้นที่ใน ’กีฬาพื้นบ้าน’ ที่เคยเป็นจุดแข็งของชาติ ไม่ว่าจะเป็น เซปักตะกร้อ หรือ มวยไทย สองชนิดกีฬาที่ไทยเคยชนะขาดในแทบทุกสมัย แต่ช่วงหลังเริ่มมีแพ้บ้างในบางรายการระดับโลก
อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนนี้กลับกลายเป็นโอกาส เพราะไทยเริ่มหันมาใช้กีฬาไทยเป็น Soft Power ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันมวยไทยให้เข้าสู่ระบบโอลิมปิก หรือการพัฒนาตะกร้อให้กลายเป็นกีฬาสากล
จากกีฬาในภูมิภาค ไทยเริ่มใช้เวทีซีเกมส์เป็นพื้นที่ทดลองแนวทางใหม่ของกีฬาไทย ที่ไม่ได้มีเป้าหมายแค่เหรียญ แต่ต้องการส่งต่อวัฒนธรรม และเอกลักษณ์ของชาติ ให้เพื่อนบ้านและคนทั่วโลกได้รู้จัก
ภาพรวมแนวโน้ม 10 ปี จากปริมาณสู่คุณภาพ
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา จำนวนเหรียญที่ไทยคว้ามาได้ในแต่ละสมัยอาจลดลง แต่หากมองลึกกว่าตัวเลข มันไม่ใช่ความถดถอย หากแต่เป็นการเปลี่ยนโฟกัส
ไทยเริ่มลดจำนวนชนิดกีฬาที่เข้าร่วมแข่งขันในซีเกมส์ โดยเน้นเฉพาะชนิดที่มีในโอลิมปิก และเอเชียนเกมส์
แนวทางนี้ช่วยให้เกิดการลงทุนเชิงลึกในกีฬาเป้าหมายแทนการกระจายทรัพยากร ผลลัพธ์คือ แม้เหรียญทองจะน้อยลง แต่คุณภาพของนักกีฬาไทยเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หลายคนสามารถต่อยอดไปสู่ระดับเอเชียและโลกได้สำเร็จ เช่น บิว-ภูริพล ในกรีฑา, เทนนิส-พาณิภัค ในเทควันโด, หรือทัพแบดมินตันที่นำโดย วิว-กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ต่างก็ทำผลงานกวาดแชมป์ในระดับเวิลด์ทัวร์ปี 2025 ได้เยอะมาก
นี่คือทิศทางใหม่ของไทย ไม่ใช่กวาดเหรียญให้ได้มากที่สุด แต่คือการใช้ทุกเหรียญเพื่อสร้างอนาคตของกีฬาไทยแบบที่ควรจะเป็นมาตั้งนานแล้ว
การลงทุนและระบบเยาวชน พื้นฐานของความยั่งยืน
อีกหนึ่งเบื้องหลังของทุกเหรียญรางวัล คือระบบที่ต้องสร้างด้วยเวลา
เพราะประเทศไทยเริ่มจึงหันมาเน้นการลงทุนในอนาคต มากกว่าผลลัพธ์เฉพาะหน้า ทั้งผ่านโครงการ Sports Hero, ศูนย์ฝึกกีฬาแห่งชาติ, และเครือข่ายโรงเรียนกีฬาทั่วประเทศ เพื่อเฟ้นหานักกีฬาดาวรุ่งจากภูมิภาคต่างๆ และต่อยอดด้วยเทคโนโลยีทางกีฬา
สมาคมกีฬาหลายแห่งเริ่มใช้ข้อมูลจริงในการวิเคราะห์ศักยภาพนักกีฬา ผสมผสานแนวคิดของโค้ชต่างชาติ เข้ากับภูมิปัญญาการฝึกแบบไทย จนเกิดเป็นระบบฝึกซ้อมที่ยืดหยุ่นและทันสมัยขึ้นเรื่อยๆและเมื่อโครงสร้างเหล่านี้เติบโตอย่างมั่นคง ‘เหรียญรางวัล’ ในวันนี้…ก็ไม่ใช่จุดสิ้นสุดอีกต่อไป แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการสร้างนักกีฬารุ่นใหม่ที่พร้อมก้าวสู่ระดับเอเชียและโลก
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ซีเกมส์พิสูจน์ให้เห็นว่า การเป็นผู้นำหรือเจ้าเหรียญทอง ไม่ได้หมายถึงการอยู่บนยอดตารางเหรียญเสมอไป
ประเทศไทยอาจไม่กวาดชัยชนะเหมือนเดิม แต่เรายังคงเป็นประเทศที่เพื่อนบ้านมองหาแรงบันดาลใจ จากเจ้าซีเกมส์ในอดีต วันนี้ไทยกำลังกลายเป็นผู้นำด้านแนวคิดและระบบพัฒนากีฬาในอาเซียน
และสุดท้าย…ผลลัพธ์ที่มีค่ากว่าเหรียญซีเกมส์ใดๆ คือการที่นักกีฬาไทยสามารถเปิดประตูบานต่อไป สู่เวทีที่ใหญ่กว่า เข้มข้นกว่า และยังคงทำผลงานได้ดีในระดับโลก
เพราะในท้ายที่สุดแล้ว…เหรียญทองอาจอยู่ไม่นาน แต่เชื่อเหลือเกินว่า ระบบที่สร้างยอดนักกีฬาควรจะอยู่กับเราตลอดไป 🥇