×

ทำไมประเทศไทยถึงมีบทบาทสำคัญต่อแบรนด์เครื่องประดับ Van Cleef & Arpels

23.03.2025
  • LOADING...

แม้ในช่วงเวลานี้วงการลักชัวรีทั่วโลกจะอยู่ภายใต้ความกดดันรอบด้านด้วยสถานการณ์ยอดขายที่ซบเซาลง จนทำให้หลายแบรนด์แถวหน้าต่างต้องเปลี่ยนกลยุทธ์เป็นว่าเล่นเพื่อประคองตัวเองและ Breakeven ให้ได้ แต่หนึ่งในกลุ่มสินค้าที่ยังคงผงาดและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ก็คือเครื่องประดับ High Jewelry ที่เป็นไลน์สินค้าพรีเมียมและมีมูลค่าสูงสุดของหลายแบรนด์ 

 

โดยหนึ่งในตัวละครสำคัญก็คือ Van Cleef & Arpels แบรนด์อายุ 119 ปีจากฝรั่งเศสภายใต้เครือ Richemont Group ที่แม้จะเข้ามาเปิดกิจการในประเทศไทยเพียง 9 ปีที่ผ่านมา แต่ก็สร้างเน็ตเวิร์กลูกค้าอันแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว จนล่าสุดเมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทาง Van Cleef & Arpels ก็ปักหมุดโรงแรม Trisara จังหวัดภูเก็ต เพื่อจัดงานภาคต่อของคอลเล็กชัน High Jewelry ประจำปี 2024-2025 ในชื่อ Treasure Island หลังเปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วที่ไมอามี อเมริกา ซึ่งได้กระแสตอบรับอย่างล้นหลามจนหลายชิ้นถูกซื้อไปแล้ว

 

THE STANDARD POP เองก็เดินทางไปงานเปิดตัวที่ภูเก็ตอีกครั้ง พร้อมกับสัมภาษณ์พูดคุยกับ Julie Clody Medina ประธาน Van Cleef & Arpels เอเชียแปซิฟิก ที่เธอเล่าเรื่องราวและเหตุผลที่แบรนด์ได้มาจัดระดับ Global ในประเทศไทยอีกครั้ง พร้อมเผยวิสัยทัศน์ของแบรนด์และทำให้เรารู้จักตัวเธอมากขึ้นในฐานะผู้หญิงมากความสามารถที่อยู่ในตำแหน่งอันทรงอิทธิพลในวงการลักชัวรี

 

Julie Clody Medina – ประธาน Van Cleef & Arpels เอเชียแปซิฟิก

 

บทบาทของคุณกับแบรนด์ Van Cleef & Arpels ปัจจุบันนี้คืออะไร?

 

ฉันทำงานกับแบรนด์มาเกือบ 10 ปีแล้ว โดยได้รับโอกาสในการทำความเข้าใจกับตลาดที่หลากหลายของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมมีส่วนร่วมในการเปิดตลาดใหม่ เช่น ออสเตรเลียและประเทศไทย รวมถึงตลาดมาเลเซีย และศึกษาแนวโน้มของตลาดสิงคโปร์ หลังจากนั้นฉันก็ย้ายไปฮ่องกง แต่ก็ยังคงทำงานในด้านพาณิชย์และค้าปลีก เพียงแค่ขยายขอบเขตไปสู่ระดับสากลมากขึ้น 

 

สิ่งนี้ทำให้ฉันได้เรียนรู้และเข้าใจตลาดอื่นๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน เกาหลี และอื่นๆ ต่อมา ฉันก็ได้รับโอกาสทำการตลาด มันเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติมากๆ ครอบคลุมทุกมิติของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นภาพลักษณ์ของแบรนด์ การเงิน ทรัพยากรบุคคล การค้า และค้าปลีก โดยเฉพาะในตลาดฮ่องกงและมาเก๊า ที่เป็นตลาดที่น่าสนใจมาก เพราะเป็นตลาดแรกที่เราเปิดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเมื่อหลายทศวรรษก่อน มีฐานลูกค้าที่มีความเป็นผู้ใหญ่มาก และเป็นตลาดที่มีความยืดหยุ่นสูง 

 

ฉันผ่านทั้งช่วงเวลาที่รุ่งเรืองและช่วงเวลาที่ยากลำบากกับแบรนด์ อีกทั้งยังมีทีมงานที่ยอดเยี่ยมและมีจิตวิญญาณของการทำงานร่วมกันที่แข็งแกร่ง และเมื่อ Nicola Luchsinger ออกเพื่อย้ายไป Buccellati ฉันได้รับโอกาสให้เข้ามารับตำแหน่งต่อ สิ่งแรกที่ฉันคิดเสมอพร้อมกับความถ่อมตนของตัวเองก็คือ ฉันกำลังเดินตามรอยและสืบทอดงานจากผู้นำที่เป็นตำนาน คนที่เคยบุกตลาดในภูมิภาคนี้มาก่อน เช่น Catherine Reiner ที่ปัจจุบันเป็น CEO ของเรา และ Nicola Luchsinger ซึ่งทั้งสองท่านเป็นบุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับฉันอย่างมาก แม้ว่าจะมีสไตล์ที่แตกต่างกัน แต่ก็เป็นที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง และฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าฉันจะสามารถมอบแรงบันดาลใจแบบเดียวกันให้กับทีมได้

 

แต่ละตลาดมีความเป็นเอกลักษณ์และความแตกต่าง แต่ก็มีบางจุดที่คล้ายคลึงกัน ในฐานะผู้นำระดับภูมิภาค หนึ่งในภารกิจสำคัญของเราคือการกำหนดทิศทาง แบ่งปันแนวทางและวิสัยทัศน์ให้กับทีม

 

ฉันมักจะพูดเสมอว่า เราทุกคนอยู่บนเรือลำเดียวกัน แต่ถ้าเราไม่รู้ว่าเรากำลังมุ่งหน้าไปทางไหน ไม่ว่าเราจะเผชิญกระแสลมหรืออุปสรรคใดๆ เราก็อาจหลงทางกลางทะเลได้ใช่ไหม?

 

ถ้าเรารู้ว่าเรากำลังมุ่งหน้าไปที่ไหน เราก็จะสามารถผ่านทุกอุปสรรคปัญหาและพบโอกาสได้มากขึ้น ดังนั้นหนึ่งในหน้าที่สำคัญของฉันคือการกำหนดทิศทางและวิสัยทัศน์ และทำให้ทุกคนในทีมมีความเข้าใจตรงกัน และเรามีกลยุทธ์ที่ปรับตัวให้เข้ากับแต่ละตลาด เป้าหมายหลักคือข้อความที่เราสื่อสารออกไป และวิสัยทัศน์ที่เรามอบออกไปนั้นจะต้องไปด้วยกันเสมอ

 

ดังนั้นการมีวิสัยทัศน์และการไปด้วยกันเป็นทีมนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ อีกทั้งยังต้องมอบอำนาจให้กับสมาชิกในทีม เพราะเราต้องเชื่อมั่นในทีมของเรา ให้พวกเขามีกรอบการทำงานที่ช่วยให้พวกเขาเติบโต และสามารถเป็นเจ้าของในสิ่งที่พวกเขาทำ ไม่ว่าจะเป็นโครงการต่างๆ หรือการเปิดร้านใหม่ๆ เพิ่มขึ้น

 

ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ การส่งเสริมการสนทนา และการเป็นผู้ที่ช่วยผลักดันให้เกิดความสำเร็จ ตัวดิฉันมองว่าตัวเองมีบทบาทเป็นผู้เอื้อให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น

 

อีกหนึ่งในหน้าที่สำคัญของฉันคือการเป็นตัวแทนของแบรนด์อย่างดีที่สุดต่อทีมงานและลูกค้า เช่น การถ่ายทอดความหลงใหลที่เรามีต่อแบรนด์ และตอบสนองแบรนด์ให้เข้ากับความต้องการของตลาด ฉันทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงของทีม เพื่อให้ทีมหัวหน้าใหญ่เข้าใจทิศทางที่เรากำลังจะไป สิ่งที่เรากำลังจะทำ รวมถึงโครงการต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น

 

นอกจากนี้ ฉันยังมีหน้าที่ในการบริหารธุรกิจเช่นเดียวกับผู้นำองค์กรคนอื่นๆ ดูแลทั้งทรัพยากรบุคคล การเงิน รายได้ กำไร และผลประกอบการโดยรวมของแบรนด์ในภูมิภาคนี้

 

นางแบบสวมใส่เครื่องประดับไฮจิวเวลรีคอลเล็กชัน Treasure Island ของ Van Cleef & Arpels ที่ภูเก็ต

 

ทำไมคุณถึงเลือกเปิดตัวคอลเล็กชันนี้ที่ภูเก็ตในประเทศไทย?

 

ภูมิภาคเอเชียและเอเชียแปซิฟิกเป็นพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังกว้างใหญ่และได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมที่หลากหลายมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับมรดกทางวัฒนธรรมและประเพณีดั้งเดิม มีการผสมผสานที่น่าสนใจระหว่างอดีตและอนาคต โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ที่กำลังเติบโตขึ้นมา

 

ด้วยเหตุนี้ เราต้องการให้งานเปิดตัวคอลเล็กชันนี้อยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จากนั้นจึงมีการหารือกันว่า สถานที่ที่เหมาะสมควรเป็นที่ใด และเมื่อเราพิจารณาถึงเรื่องราวและเอกลักษณ์ของสถานที่ ตัวเลือกที่แคบลงมาหน่อยก็คือหมู่เกาะ จริงๆ ฉันรักเกาหลีและโซลมากนะคะ แต่สำหรับโปรเจกต์นี้ เราต้องการเจาะกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องมีสภาพอากาศที่เหมาะสม รวมถึงประวัติศาสตร์ของเหล่าโจรสลัดด้วยเช่นกัน เมื่อทีมงานค้นพบสถานที่ที่มีต้นไม้รายล้อม มีวิวทะเลที่บรรจบกับเนินเขา สวนอันเขียวชอุ่ม ความสงบ และความกลมกลืน ทุกอย่างชัดเจนเลยว่าต้องเป็นที่นี่ ที่ที่ฉันกำลังพูดคุยกับคุณอยู่ตอนนี้ ลองดูสิว่ามีอะไรอยู่ข้างหลังฉันบ้าง? เรือกับเกาะแห่งนี้ไง ที่นี่มีต้นปาล์มต้นเดียวที่ดูเหมือนภาพสัญลักษณ์ของการเปิดตัวครั้งนี้ มันเหลือเชื่อมาก ไม่มีที่ไหนเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว ฉันมั่นใจอย่างนั้นจริงๆ และต้องขอบคุณทีมงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ให้คำตอบว่า “ใช่ นี่แหละที่ที่ใช่!”

 

เห็นได้ชัดว่าตลาดในประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็วไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งในภูเก็ตก็มีการเติบโตของแบรนด์เพิ่มขึ้นด้วย?

 

ที่คุณพูดมานั้นถูกต้องเลย เราเข้ามาลุยตลาดในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2016 ยังไม่ถึง 10 ปีเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เราขยายไปถึง 3 สาขาแล้ว และเราเคยเป็นเจ้าภาพจัดงานระดับนานาชาติมาแล้วครั้งหนึ่ง เท่าที่ฉันทราบ นี่เป็นงานเปิดตัวคอลเล็กชันเครื่องประดับระดับนานาชาติเพียงงานเดียวที่จัดขึ้นในเอเชียแปซิฟิก นั่นก็คือ Treasures of Rubies ในปี 2019

 

ดังนั้นเราได้วางรากฐานแบรนด์ในช่วงเวลาสำคัญให้กับภูมิภาคนี้แล้ว แต่ต้องบอกก่อนว่า การเลือกสถานที่ครั้งนี้ไม่ได้มีเหตุผลทางการค้าเป็นปัจจัยหลัก สิ่งสำคัญคือการสร้างเรื่องราวที่สะท้อนถึงความเป็นแบรนด์ออกมา รวมถึงคุณภาพของการบริการ ความพิถีพิถัน ความอดทน และความเอื้อเฟื้อของที่นี่ เพื่อรับรองว่าแขกของเราจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด

 

อย่างไรก็ตาม คุณพูดว่าตลาดไทยเป็นตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็ว มีศักยภาพสูง และมีความชื่นชอบผลงานของเรามากอย่างยาวนาน อีกทั้งในอดีต พระบรมวงศานุวงศ์ไทยก็เคยทรงเครื่องประดับของ Van Cleef & Arpels มาก่อน ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างประเพณีและความทันสมัยที่เข้ากันกับตัวตนของแบรนด์ได้เป็นอย่างดี

 

การจัดแสดงเครื่องประดับไฮจิวเวลรีคอลเล็กชัน Treasure Island ของ Van Cleef & Arpels ที่ภูเก็ต

 

มีชิ้นไหนที่คุณชอบใน Treasure Island เป็นพิเศษบ้างไหม? 

 

ฉันถูกถามคำถามนี้บ่อยมากเลย และคำตอบก็มักจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ อย่างน้อยครั้งนี้คุณก็ให้โอกาสฉันได้เลือกอีกครั้ง เพราะฉันเชื่อว่าเวลาที่เรามีเครื่องประดับ นาฬิกา หรือแว่นตา เรามักจะเลือกใส่ตามอารมณ์ของวันนั้นๆ คล้ายกับการเปิดหนังสือที่เต็มไปด้วยคำคม แล้วเจอประโยคที่ตรงกับความรู้สึกของเราในวันนั้น ฉันชอบที่เราสามารถเลือกเครื่องประดับให้เข้ากับอารมณ์ที่เราต้องการสื่อออกมาได้ บางวันอาจจะเป็นแหวน วันนี้เป็นสร้อยคอ พรุ่งนี้ก็อาจเป็นอย่างอื่นแทนก็ได้ ซึ่งมันยากมากสำหรับฉันที่จะเลือกสักชิ้น บางครั้งใจดิฉันจะเอนเอียงไปทาง Pirates เพราะมันวิจิตรงดงาม มีความแปลกตาอยู่บ้าง ส่วนงานฝีมือเบื้องหลังนั้นก็น่าทึ่งไม่แพ้กัน

 

สำหรับฉัน Pirates ในคอลเล็กชันนี้เป็นโจรสลัดที่สง่างามมาก พวกเขาไม่มีความโหดร้ายหรือดิบเถื่อนเลย แต่กลับเต็มไปด้วยรายละเอียดสุดแสนจะประณีต มีความสมจริงที่แฝงไปด้วยความมหัศจรรย์และความหลากหลายในคอลเล็กชันนี้

 

ในการแสดงเมื่อวานนี้ ฉันชอบที่เราสามารถสวมใส่ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นหมวก ผ้าพันคอ หรือแม้แต่เข็มกลัด แต่ฉันชอบความอเนกประสงค์ของเข็มกลัดมาก แต่ถ้าต้องเลือกชิ้น ฉันชอบ cif Corallien ที่สุด เพราะเป็นสร้อยคอที่ได้รับแรงบันดาลใจจากแนวปะการัง ตอนแรกที่ได้เห็นชิ้นงานนี้ สิ่งที่ดึงดูดสายตาฉันทันทีเลยก็คือ ทับทิมสยาม ฉันชอบสีแดงกับชมพูมากๆ โดยเฉพาะอัญมณีอย่างทับทิม มันมีเสน่ห์ที่เปล่งประกายออกมาจากตัวมันเอง ที่สำคัญคือมันมีขนาดมากกว่าห้ากะรัต มันงดงามมากจริงๆ ค่ะ ฉันเองก็รักทะเล แม้ว่าจะไม่ใช่นักดำน้ำมืออาชีพ แต่ฉันก็สามารถดำน้ำตื้นและเฝ้าสังเกตแนวปะการังได้หลายชั่วโมงเลย เพราะมันสวยและงดงามมากจริงๆ การเคลื่อนไหวที่พลิ้วไหวของปะการังตามกระแสน้ำ การสะท้อนของแสงอาทิตย์ มันสวยงามไม่ต่างจากสวนดอกไม้บนบกเลย น่าเศร้าที่แนวปะการังกำลังลดลงเรื่อยๆ แต่สิ่งที่ทำให้ฉันทึ่งมากคือ ช่างฝีมือสามารถถ่ายทอดความอ่อนช้อยและความละเอียดอ่อนของแนวปะการังลงบนวัสดุที่แข็งอย่างอัญมณีและทองคำได้อย่างน่าอัศจรรย์มาก

 

ซึ่งสร้อยคอนี้งดงามทั้งด้านในและด้านนอก เวลาสวมใส่มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นผิวหนังอีกชั้นหนึ่ง ไร้ซึ่งความแข็งกระด้าง แต่กลับมีความอ่อนโยน มันเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบ มันเหลือเชื่อมาก ความงดงามของเครื่องประดับเหล่านี้คือ คุณสามารถเข้าใจและสัมผัสมันได้เป็นขั้นๆ ขั้นแรกคือ ด้วยสายตาของคุณอาจถูกดึงดูดจากอัญมณี ดีไซน์ รูปทรง หรือความรู้สึกที่ได้จากชิ้นงานนั้น จากนั้นคุณจะเริ่มสังเกตงานฝีมือที่อยู่เบื้องหลังว่ามีตัวล็อกซ่อนอยู่ไหม? สามารถออกแบบใหม่ได้หรือเปล่า? ชิ้นงานถูกออกแบบมาให้ดูเรียบง่ายแค่ไหน? สิ่งเหล่านี้กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นอย่างมาก และเมื่อคุณเริ่มค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม คุณจะพบว่าชิ้นงานนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเมืองเล็กๆ ในซิซิลี บนเกาะอิตาลีที่ชื่อ Trapani ซึ่งในศตวรรษที่ 17 มีชื่อเสียงในด้านศิลปะการแกะสลักปะการัง นอกจากนี้ยังได้รับอิทธิพลจากศิลปะแบบ Rococo ที่เต็มไปด้วยรายละเอียดที่วิจิตร การชื่นชมเครื่องประดับก็เหมือนกับการเดินทาง คุณไม่จำเป็นต้องอยู่บนเรือหรือข้ามมหาสมุทรเพื่อสัมผัสกับการผจญภัย แต่มันเป็นการเดินทางผ่านการทำความเข้าใจ ผ่านความคิดสร้างสรรค์ ผ่านศิลปะที่สามารถสวมใส่ได้ ทั้งหมดนี้ก็คือเหตุผลที่ฉันชอบงานชิ้นนี้ค่ะ

 

นางแบบสวมใส่เครื่องประดับไฮจิวเวลรีคอลเล็กชัน Treasure Island ของ Van Cleef & Arpels ที่ภูเก็ต

 

คุณคิดว่าแบรนด์ Van Cleef & Arpels แตกต่างจากแบรนด์อื่นอย่างไร โดยเฉพาะในกลุ่มแบรนด์เครื่องประดับชั้นสูง 

 

ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยพูดกับ Nicolas Bos และฉันเห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่า “ยิ่งมีมาก ยิ่งดี” เพราะฉันเชื่อว่าในอุตสาหกรรมนี้ยังมีพื้นที่ให้ทุกแบรนด์เติบโตได้ ทุกแบรนด์มีจุดยืนของตัวเอง และลูกค้าก็มีอิสระที่จะเลือกสิ่งที่พวกเขาชอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความงาม หรือสไตล์ที่บ่งบอกตัวตนของพวกเขา ส่วนเหตุผลที่ฉันคิดว่า “ยิ่งมีมาก ยิ่งดี” ก็เพราะมันช่วยรักษาและสืบสานประเพณีงานเครื่องประดับอันประณีตให้คงอยู่ต่อไป และยังเป็นภารกิจที่ Van Cleef & Arpels ให้ความสำคัญอันดับหนึ่งมาโดยตลอด เราถือว่าเราเป็น “ผู้พิทักษ์” ของงานศิลปะแขนงนี้ โดยมุ่งมั่นที่จะปกป้องและถ่ายทอดความเชี่ยวชาญด้านเครื่องประดับให้กับคนรุ่นใหม่ เพื่อให้ศิลปะและงานฝีมือนี้ยังคงดำเนินต่อไป

 

แน่นอนว่าการมีเวิร์กช็อปเพิ่มขึ้น หรือแบรนด์อื่นๆ ที่เข้ามาในวงการ High Jewelry จะช่วยผลักดันนวัตกรรมและรักษาประเพณีของวงการนี้ไว้ สิ่งที่ทำให้ Van Cleef & Arpels แตกต่างจากแบรนด์อื่นคือ เราไม่เพียงแต่ผลิตเครื่องประดับ High Jewelry แต่เรายังลงทุนใน L’ÉCOLE, School of Jewelry Arts ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนศิลปะเครื่องประดับของเราเอง ขณะที่แบรนด์อื่นอาจขยายไปธุรกิจโรงแรม บาร์ คาเฟ่ หรือสินค้าไลฟ์สไตล์อื่นๆ แต่เรากลับเลือกที่จะยึดมั่นในแก่นแท้ของเรา นั่นคือ “เครื่องประดับ” และ “นาฬิกา” ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเชี่ยวชาญมาตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์แรกๆ

 

เมื่อ 15 ปีก่อน เราตระหนักว่าโลกของเครื่องประดับชั้นสูงนั้นไม่ค่อยเป็นที่นิยมหรือไม่เป็นที่รู้จักมากเท่าไหร่ ผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้ถึงกระบวนการสร้างสรรค์งานฝีมือ หรือ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และบางครั้ง การก้าวเข้าไปในแบรนด์เครื่องประดับชั้นสูงอาจจะรู้สึกน่าหวั่นเกรงสำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นลูกค้าประจำหรือคิดว่าไม่สามารถเข้าถึงได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราให้ความสำคัญกับการศึกษาและการแบ่งปันองค์ความรู้เกี่ยวกับเครื่องประดับมากกว่าการขยายไปสู่ธุรกิจอื่นๆ

 

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ L’ÉCOLE, School of Jewelry Arts โครงการนี้เกิดขึ้นเพื่อเปิดโลกแห่งวงการเครื่องประดับให้เข้าถึงผู้คนได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เราจัดเวิร์กช็อปให้กับเด็กอายุเพียง 4 ขวบ ไปจนถึงการเรียนด้านอัญมณีศาสตร์ (Gemology), ประวัติศาสตร์ศิลปะแห่งเครื่องประดับ (Art History of Jewelry) และศาสตร์แห่งงานฝีมือ (Craftsmanship)

 

ทุกหลักสูตรของเรามีการลงมือปฏิบัติจริง และยังมีนิทรรศการที่เปิดให้เข้าชมฟรีในแคมปัสของเราด้วย สิ่งนี้ถือเป็นจุดที่ทำให้เราแตกต่าง เพราะเราให้ความสำคัญกับการปลูกฝังความรู้ของเครื่องประดับให้กับคนรุ่นใหม่ เพื่อให้พวกเขาเข้าใจว่าเครื่องประดับไม่ได้เป็นเพียงแค่ความงามภายนอกแค่นั้น ไม่ว่าพวกเขาจะสามารถเป็นเจ้าของได้หรือไม่ก็ตาม แต่เบื้องหลังชิ้นงานนั้นเต็มไปด้วยศาสตร์ งานฝีมือ และความเชี่ยวชาญที่ต้องใช้เวลาสั่งสมอย่างยาวนาน

 

อีกหนึ่งจุดแข็งของ Van Cleef & Arpels คือ การเล่าเรื่อง (Storytelling) ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเรา เพราะมันเป็นรากฐานของแบรนด์มาตั้งแต่แรก ครอบครัวผู้ก่อตั้งของเราเดินทางไปทั่วโลก สำรวจและค้นหาแรงบันดาลใจจากอัญมณีและศิลปะของแต่ละวัฒนธรรม การเดินทางของพวกเขานำไปสู่บทสนทนาและความร่วมมือกับบุคคลสำคัญมากมาย ตั้งแต่ Duchess of Windsor ไปจนถึงบุคคลในแวดวงศิลปะและวรรณกรรม

 

ตั้งแต่ช่วงปี 2000 เป็นต้นมา เราได้นำแนวคิดนี้มาใช้ในการสร้างสรรค์คอลเล็กชันเครื่องประดับเชิงธีมต่างๆ ซึ่งจะเปิดตัวเป็นประจำทุกปี โดยได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะ อัญมณี หรือเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ เช่น Treasures of Rubies, Legend of Diamonds, Les Voyages Extraordinaires, William Shakespeare’s Romeo & Juliet และ Grimm’s Fairy Tales สิ่งเหล่านี้ล้วนช่วยเติมเต็มโลกแห่งเวทมนตร์อันเป็นเอกลักษณ์ของ Van Cleef & Arpels และทำให้แบรนด์ของเรามีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร

 

การจัดแสดงเครื่องประดับไฮจิวเวลรีคอลเล็กชัน Treasure Island ของ Van Cleef & Arpels ที่ภูเก็ต

 

ความทรงจำแรกของคุณกับ Van Cleef & Arpels?

 

หนึ่งในความทรงจำของฉันได้ นั่นก็คือ นิทรรศการ Patrimonial Exhibition ครั้งแรกที่ฉันมีโอกาสได้ทำงานและเป็นสักขีพยาน ซึ่งก็คือ นิทรรศการ Patrimonial Exhibition ในสิงคโปร์ ที่จัดขึ้นที่ Marina Bay Sands ใน Art Science Museum เมื่อปี 2016 ภายใต้ธีม Art and Science of Gems (ศิลปะและวิทยาศาสตร์แห่งอัญมณี) และนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้รับการฝึกอบรม ได้เรียนรู้เกี่ยวกับมรดกของแบรนด์ รวมถึงความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมาตั้งแต่ยุค 1920s และ 1930s เพราะนิทรรศการ Patrimonial Exhibition นี้เป็นสิ่งที่น่าทึ่งมาก ฉันสามารถดำดิ่งสู่ประวัติศาสตร์ของแบรนด์ได้อย่างดีเลย ไม่ใช่แค่ดูผ่านเอกสาร คอมพิวเตอร์ หรือหนังสือนะ แต่มันคือการได้เห็นและสัมผัสผลงานอันล้ำค่าแบบจริงๆ จังๆ นี่ก็คือสองความทรงจำที่ไม่มีวันลืมของฉันเอง

 

นางแบบสวมใส่เครื่องประดับไฮจิวเวลรีคอลเล็กชัน Treasure Island ของ Van Cleef & Arpels ที่ภูเก็ต

 

คำถามสุดท้ายที่ผมมักจะถามหลายๆ คนจากแบรนด์ต่างๆ ก็คือ ถ้าคุณสามารถถามคำถามหนึ่งข้อกับผู้ก่อตั้งทั้งสองของ Van Cleef & Arpels ได้ในตอนนี้ คุณอยากจะถามอะไร?

 

ฉันอยากรู้คำตอบของคนอื่นๆ บ้างจัง ถ้าฉันมีโอกาสได้พูดคุยกับพวกเขา ฉันจะถามว่า “ในอีกหลายปีข้างหน้าคุณมองเห็นอนาคตของ Van Cleef & Arpels เป็นอย่างไร? สมมติว่าเป็นปี 2050 วิสัยทัศน์ที่คุณมอบให้กับแบรนด์ในตอนนั้นคืออะไร?”

 

ฉันอยากรู้ว่าพวกเขาจะเลือกใช้คำพูดแบบไหน จะอธิบายการที่แบรนด์เติบโตและเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติออกมาแบบไหน ฉันอยากเข้าใจมุมมองของพวกเขาที่มีต่ออนาคตของแบรนด์

 

และคุณคิดว่าคำตอบของพวกเขาจะเป็นอย่างไรในปี 2050?

 

ฉันคิดว่าพวกเขาจะตอบว่า “เราจะยังคงส่งต่อความงดงามสุนทรี และวิสัยทัศน์ในแง่ดี พร้อมทั้งรักษามาตรฐานงานเครื่องประดับชั้นสูงของเราไว้ เพราะนี่คือศิลปะที่ควรค่าแก่การสร้างสรรค์และอนุรักษ์ไว้ตลอดไป”

 

 

ภาพ: Courtesy of Van Cleef & Arpels

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories