วันนี้ (11 กรกฎาคม) ที่กระทรวงการไปรษณีย์และโทรคมนาคม กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) พร้อมด้วย พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ศปอส.ตร. (PCT) ร่วมหารือกับ เจีย วันเดค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการไปรษณีย์และโทรคมนาคมของกัมพูชา และลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และ Hybrid Scam
โดยการลงนามบันทึกความเข้าใจฉบับนี้เป็นผลลัพธ์สำคัญจากการหารือและดำเนินการร่วมกันระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564 หลังจากที่ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับแจ้งจากกลุ่มผู้เสียหายจำนวนมากที่ถูกหลอกลวงจากคนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แก๊งหลอกชักชวนให้ร่วมลงทุน และแก๊งพนันออนไลน์หลายเว็บไซต์ โดยปัญหาดังกล่าวได้ทวีความรุนแรงและสร้างความเสียหายอย่างต่อเนื่องแก่ประชาชนชาวไทยและหน่วยงานภาครัฐที่ถูกแอบอ้าง ซึ่งจากการสืบสวนทราบว่ากลุ่มคนร้ายได้ดำเนินการจากประเทศกัมพูชา
ซึ่งการหารือทวิภาคีครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือด้านการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และ Hybrid Scam และการดำเนินการร่วมกัน เช่น การจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองฝ่าย, การแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อใช้ในการสืบหาหลักฐานในประเทศไทยและกัมพูชา, ขยายการสืบสวนเพื่อให้ได้ตัวผู้กระทำความผิด และการประสานงานและอำนวยความสะดวกในกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดน นอกจากนี้ยังได้ร่วมหารือถึงแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือด้านดิจิทัล ไอซีที และการไปรษณีย์ โดยฝ่ายกัมพูชาสนใจด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทย ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะได้แลกเปลี่ยนความร่วมมือและองค์ความรู้ในสาขาที่มีความสนใจร่วมกันต่อไป
พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์กล่าวว่า การเดินทางเยือนกัมพูชาครั้งนี้ ทางดีอีเอส ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ยังได้ร่วมกันติดตามผลการปฏิบัติการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 4 แก๊งใหญ่ มีผู้ต้องหา 74 คน เพื่อนำตัวไปดำเนินคดียังประเทศไทยด้วย หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ส่งชุดปฏิบัติการ PCT จำนวนกว่า 20 นาย นำกำลังเข้ามาประสานงานกับตำรวจกัมพูชาเพื่อให้ช่วยติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ จนนำไปสู่ปฏิบัติการเข้าตรวจค้นจำนวน 5 จุด คือ
จุดที่ 1 เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2565 ที่เมืองพระสีหนุ โรงแรมแห่งหนึ่งที่ถนนสองธนู จับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวน 21 หมายจับ มีการใช้รูปโปรไฟล์บุคคลอื่นผ่านแอปพลิเคชันหาคู่ พูดคุยหลอกลวงและชวนลงทุนใน MetaTrader 5 (ฟอเร็กซ์) หรือซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล โดยจะให้เทรดและวิเคราะห์ทางเทคนิคตามคำแนะนำ และชักชวนให้ลงทุนกับโบรกเกอร์ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อหลอกให้ลงเงินแต่ไม่มีการลงทุนจริง
จุดที่ 2 วันเดียวกันที่เมืองพระสีหนุ คาสิโนแห่งหนึ่งที่ถนนปุโลไว 300 ไม่พบผู้ต้องหา
จุดที่ 3 เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2565 ที่เมืองพระสีหนุ ประตูแดง จับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวน 18 หมายจับ แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่สถานีตำรวจภูธรแหลมฉบัง ที่เมืองพระสีหนุ อยู่ระหว่างการพิสูจน์ทราบตัวบุคคล หนึ่งในนั้นคือ จิรายุ ที่แอบอ้างเป็นผู้กำกับการซึ่งถือเป็นผู้ต้องหาสำคัญในคดี
จุดที่ 4 วันเดียวกันที่เมืองพระสีหนุ จับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้กู้เงินออนไลน์จำนวน 10 หมายจับ
จุดที่ 5 วันที่ 7 กรกฎาคม 2565 ที่เมืองปอยเปต จับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้างเป็นบริษัทส่งพัสดุ DHL จำนวน 25 หมายจับ
รวมจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ 74 คน โดยขณะเข้าตรวจค้นพบคนไทยกำลังทำงานร่วมกับกลุ่มผู้ต้องหา จึงได้นำตัวออกมาสอบสวนดำเนินคดีอีกจำนวน 15 คน รวมควบคุมตัวทั้งสิ้น 89 คน
พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์กล่าวต่อไปว่า การจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั้ง 4 แก๊งนี้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากตำรวจกัมพูชา โดยวันนี้เป็นการเดินทางมาให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจกัมพูชาเท่านั้น เนื่องจากผู้ต้องหาทั้งหมดยังอยู่ระหว่างการดำเนินคดีตามกฎหมายกัมพูชา เช่น กฎหมายคนเข้าเมือง
ซึ่งเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการแล้วทางกัมพูชาก็จะส่งตัวผู้ต้องหาทั้งหมดให้กับไทย โดยเจ้าหน้าที่ PCT จะเดินทางมารับตัวที่จังหวัดสระแก้ว เพื่อนำตัวไปสอบสวนดำเนินคดีต่อไป ที่ผ่านมาสามารถออกหมายจับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้จำนวน 237 หมายจับ จับกุมได้แล้ว 138 หมาย และอยู่ระหว่างประสานงานติดตามจับกุมอีก 99 หมาย