หัวข้อในเนื้อหานี้
ตอนนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหา ‘ตึกร้าง’ จากโครงการรัฐที่ไม่เสร็จสมบูรณ์และไม่เคยถูกใช้งาน และเมื่อโครงการล้มเหลวกลับไม่มีผู้รับผิดชอบ ระบบตรวจสอบอ่อนแอ ไร้คำอธิบาย
จนทำให้สังคมไทยเริ่มตั้งคำถามมากขึ้นว่าปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นจากอะไร ใครจะต้องเป็นผู้ตรวจสอบตึกร้างทั่วประเทศที่สร้างขึ้นจากเงินภาษี ใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบหรือถูกลงโทษ และสังคมไทยจะสามารถหยุดวงจรอุบาทว์นี้ได้หรือไม่?
ตึกร้างเต็มเมือง แต่ไม่มีใครต้องรับผิดชอบ
- อาคารสำนักงาน กสทช. จังหวัดนนทบุรี มูลค่า 2,643 ล้านบาท ถูกทิ้งร้างตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบันการก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จ
- พิพิธภัณฑ์หอยสังข์ จังหวัดสงขลา มูลค่า 1,400 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างปี 2551 ผ่านมา 17 ปียังไม่แล้วเสร็จ
- อาคารที่ทำการศาลแขวงพระนครเหนือ เบิกงบไปแล้วกว่า 1,377 ล้านบาท แต่สร้างไม่เสร็จตามกำหนดเพราะผู้รับเหมาทิ้งงาน
- สำนักงานเขตลาดกระบัง มูลค่า 495 ล้านบาท ยังไม่เสร็จและถูกทิ้งงาน
- อาคารศูนย์สาธิตบริการและอาคารลานจอดรถ กรมควบคุมโรค มูลค่า 480 ล้านบาท ยังไม่เสร็จและถูกทิ้งงาน
สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้เป็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของตัวอย่างที่เกิดขึ้นทั่วไทย ยังไม่นับรวมการก่อสร้างยิบย่อยอื่นๆ อย่างสนามกีฬาที่ถูกทิ้งร้างในจังหวัดต่างๆ พิพิธภัณฑ์ที่ไม่มีคนเข้าไปเยี่ยมชม โรงเรียนที่มีแต่เสาเข็ม ประปาชุมชน หรือศูนย์บริการท่องเที่ยวตามจังหวัดต่างๆ ที่ไม่มีคนใช้
ราวกับว่าประเทศไทยมีงบประมาณเหลือใช้มากมายจนทำให้เราสามารถมีสิ่งปลูกสร้างที่ไร้ประโยชน์กระจายอยู่ทั่วประเทศ และไม่เคยมีการสำรวจหรือเก็บข้อมูลว่ามีสิ่งปลูกสร้างทิ้งร้างหรือสร้างไม่เสร็จอยู่มากน้อยเท่าไร
ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เชื่อว่า ความเสียหายมีมากกว่าหลักพันล้านบาท โดยสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ถูกใช้งานแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือสร้างเสร็จแล้วถูกทิ้งร้าง ส่วนอีกกลุ่มคือสร้างไม่เสร็จ โครงการไปต่อไม่ได้นานกว่า 10-20 ปี เมื่อรวมเรื่องงบผูกพันบานปลาย มูลค่าความเสียหายจึงแตะหลักแสนล้านบาท
เมื่อรู้ตัวอีกทีประเทศไทยเต็มไปด้วยตึกร้าง สังคมจึงเริ่มตั้งคำถามว่าเหตุใดเราถึงปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใครควรเป็นผู้ตรวจสอบ รวบรวมข้อมูล และยับยั้งไม่ให้หน่วยงานรัฐสร้างตึกแล้วปล่อยร้างอีกต่อไป
ปัญหาตึกร้างในมุมมองของห้องงบ
ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน และ สส. ซึ่งทำงานในคณะกรรมาธิการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อเนื่อง 6 ปี เธออธิบายว่างบส่วนตึกร้างอาจมองไม่เห็นความสูญเสียได้ง่ายอย่างที่หลายคนคาดคิด
“เอาจริงๆ ในห้องงบ เราจะไม่เห็นเรื่องว่าตึกที่เราอนุมัติงบไป เขาเอาไปใช้แล้วมันร้างหรือไม่ร้าง เพราะว่าปีต่อปีเราก็จะเห็นเฉพาะงบประมาณที่มาขอเพื่อที่จะไปสร้างใหม่ แล้วก็ถ้ากรรมาธิการไม่ได้ซักถามว่าไอ้ตึกที่เคยขอไปก่อนหน้า เอาไปทำอะไร ก็แทบจะไม่ได้เห็นข้อมูลเลยว่ามันมีตึกร้างหรือเปล่า”
“แต่ว่าในปีนี้เราก็สนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษเหมือนกัน เราก็พูดคุยกับหน่วยงาน ถ้าถามหน่วยงานที่ของบไปสร้างใหม่ว่าที่หน่วยงานคุณมีตึกร้างหรือเปล่า ก็จะบอกว่าไม่มี สิ่งที่กรรมาธิการงบประมาณจะเห็นคือการขอเงินทำโครงการก่อสร้างที่ยังไม่เกิดขึ้น จึงไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าในอนาคตตึกพวกนี้จะกลายเป็นตึกร้างหรือเปล่า”
เธอชี้ว่าปัญหาจะยิ่งชัดเมื่อโครงการที่กำหนดไว้ 10 ปี กลับยืดเยื้อเป็น 15–20 ปี โดยมักมีเหตุผลในการขอเพิ่มงบและปรับสัญญา เช่น โครงการชลประทานขนาดใหญ่ที่เจออุปสรรคระหว่างสร้างเขื่อน ทำให้ของบเพิ่มและยืดเวลาต่อเนื่อง
กรณีตึกอย่างพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่า ที่ของบตั้งแต่ปี 2563 แต่ยังไม่เสร็จ โดยหน่วยงานอ้างความยากในการโยกย้ายไม้มีค่า เนื่องจากเป็นไม้มีค่าจึงโยกย้ายลำบาก หรือหอประชุมกองทัพบกที่อนุมัติสร้างเพื่อใช้ในการประชุมเอเปก แต่ก่อสร้างเกินเวลาจนการประชุมเสร็จสิ้นไปแล้ว อาคารยังสร้างไม่เสร็จ
ศิริกัญญาอธิบายเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันการเปิดเผยข้อมูลของกรมบัญชีกลางในส่วนก่อนที่จะมีการจัดซื้อจัดจ้างถือว่าทำได้ค่อนข้างดี เพราะคณะกรรมาธิการงบประมาณสามารถเข้าไปค้นหาในระบบที่เรียกว่า Electronic Government Procurement:EGP ซึ่งปัญหาของเรื่องนี้อยู่หลังจากจัดซื้อจัดจ้างเสร็จไปแล้ว
“แต่หลังจากที่มีการจัดซื้อจัดจ้างไปเรียบร้อยแล้วไม่มีการเปิดเผยอะไรเลย ทั้งที่จะเอาข้อเท็จจริง หน่วยงานต่างๆ ที่เข้ามาของบ เวลาที่จะต้องเบิกแต่ละงวดงาน งวดงาน เสร็จแต่ละงวด แล้วก็เบิกตังค์ จริงๆ เขาต้องมีการถ่ายรูป เขาต้องมีการบันทึกว่าตกลงโครงการนี้ถึงไหนแล้ว มีการแก้ไขสัญญาหรือไม่ ส่งเข้าไปในระบบ EGP อยู่แล้ว”
“เพียงแต่ว่ากรมบัญชีกลางไม่เคยเปิดเผยเรื่องนี้ อันนี้ควรจะเป็นเรื่องที่เราทำได้ง่าย เป็น quick win ที่เราสามารถสร้างความโปร่งใส แล้วก็ให้คนสามารถที่จะเข้าไปตรวจสอบได้ง่ายๆ”
ไร้ประสิทธิภาพ ฟุ่มเฟือย หรือคอร์รัปชัน?
เมื่อเห็นว่าหลายพื้นที่มีตึกร้างของรัฐ คำถามคือ นี่คือสัญลักษณ์ของคอร์รัปชันเชิงนโยบาย หรือเป็นเพียงความไม่รู้และการใช้งบตอบสนองความต้องการของหน่วยงานรัฐ
ศิริกัญญาเสริมว่า เมื่อหน่วยงานรัฐต้องใช้งบลงทุน ก็มักเลือกสร้างตึก แต่เพราะขาดความชำนาญในการเขียน TOR จึงเกิดงวดงานและเงื่อนไขแปลกๆ งานยืดเยื้อเกินปกติ อีกทั้งไม่คำนึงถึงการชดเชยเมื่อโครงการล่าช้า เช่น ค่า K สำหรับชดเชยความผันผวนของราคาวัสดุ ซึ่งไม่ครอบคลุมค่าแรง ส่งผลให้งบโครงการบานปลายยิ่งขึ้น
“ซ้ำร้ายก็คือค่าชดเชยไม่ค่อยจ่ายนะคะ รัฐค้างจ่ายรวมกันประมาณ 3,500 ล้านบาท ถ้าผู้รับเหมายังมีสายป่านยาวอยู่ ก็ยังคงทำงานต่อไปได้ แต่ถ้าสายป่านสั้น ก็อาจจะต้องล้มหายตายจากกันไปเลยทีเดียว เพราะว่ารัฐบาลค้างจ่ายค่าชดเชยวัสดุก่อสร้างให้กับเขา”
“เพียงแต่ว่าในท้ายที่สุด ด้วยกระบวนการที่มีช่องโหว่ มันก็เปิดโอกาสให้คนที่สามารถหากินกับเรื่องนี้เข้ามาเกี่ยวได้ มันไม่มีนโยบายจากส่วนกลางว่าตกลงปีนี้เอาหรือไม่เอา ตึกจะเยอะแค่ไหน หรือว่าสัดส่วนในรายจ่ายลงทุนควรจะต้องเป็นก่อสร้างอาคารสำนักงานสักเท่าไหร่ แล้วควรจะต้องเป็นส่วนของการสร้างโครงสร้างพื้นฐานสักเท่าไหร่ เขาก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ หน่วยงานต่างๆ ก็แบบตึกฉันเก่ามากแล้ว ฉันจะต้องมีการเปลี่ยน เขาก็ขอมาตามสิทธิที่เขาพึงมี ตามระเบียบที่เคยมีตั้งไว้ก่อนหน้านั้น มันเป็นเรื่องนโยบายล้วนๆ ว่าแต่ละปี จะมีการก่อสร้างตึกมากแค่ไหน”
“มันเป็น entitlement ของข้าราชการที่รู้สึกว่าฉันสมควรที่จะต้องมี สำนักงานที่เรียกได้ว่าเป็นหน้าตา ไม่ว่าจะเป็นศูนย์ราชการมหาดไทยที่ยิ่งใหญ่อลังการ เป็นหมู่ตึกขนาดใหญ่ ทั้งสำนักปลัดคมนาคม พอสร้างใหม่ก็ต้องใหญ่โตหรูหรา ส่วนตึก สตง. ถ้าไม่ถล่มก็เป็นอาคารภาครัฐขนาดใหญ่อันหนึ่งเหมือนกัน กสทช. ทั้งๆ ที่เขาก็มีอาณาจักรของเขาอยู่แล้วที่อารีย์ ก็ยังต้องไปหาสร้างใหม่อีก 2,000 กว่าล้าน ซึ่งก็ได้ข่าวว่าก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ ผู้รับเหมาทิ้งงานเหมือนกัน ก็มีทั้ง 2 ฝั่ง ทั้งทุจริตคอร์รัปชัน แล้วก็ทั้งกฎระเบียบภาครัฐที่ไปทำร้ายเขา”
ศิริกัญญาชี้ให้เห็นค่านิยมฟุ่มเฟือยที่กำลังแพร่ในหน่วยงานรัฐ เช่น ตึกของสำนักปลัดคมนาคม มีข้าราชการราว 1,000 คน แต่งบก่อสร้างสูงถึง 4,000 ล้านบาท และพยายามขอเพิ่มฟังก์ชันราคาแพง แม้รัฐมนตรีชี้แจงว่าจะมีผู้ใช้ถึง 80,000 คน แต่เมื่อนับพนักงานและลูกจ้างต่างๆ จริงแล้วไม่ถึง 50,000 คน
กรรมาธิการเสียงข้างมากจึงให้เหตุผล “สร้างเผื่อให้ลูกหลานใช้” ทั้งที่เกินความจำเป็น อีกทั้งยังพบรายละเอียดจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์และเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงผิดสังเกต แทรกในมูลค่างานออกแบบอาคาร
ในสภาพเศรษฐกิจที่ผันผวน ข้าราชการควรตระหนักเรื่องความประหยัดและการใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด ฟังก์ชันของอาคารควรเน้นการใช้งาน ไม่ใช่ความโอ่อ่าหรูหรา ทั้งศิริกัญญาและ ดร.มานะ เห็นตรงกันว่า ต้นทุนต่อตารางเมตร ต้องสมเหตุสมผล คำนวณตามจำนวนผู้ใช้งานจริง
นอกจากอาคารโอ่อ่าไม่จำเป็น โครงการที่ล้มเหลวจำนวนมากยังเกี่ยวพันคอร์รัปชัน ดร.มานะอธิบายว่ามีทั้งการ “ขายงานเป็นทอดๆ” หักเปอร์เซ็นต์จนผู้รับเหมาปลายทางไม่คุ้มและทิ้งงาน การสอดไส้แผนคอร์รัปชันในโครงการ การตัดราคาเพื่อชนะประมูลแล้วล็อกสเป็ก เบิกงวดคู่กับสินบนก่อนทิ้งงาน ตลอดจนการรีดไถของเจ้าหน้าที่รัฐในทุกขั้นตอน จนผู้รับเหมาขนาดกลาง-เล็กทิ้งงาน สิ่งปลูกสร้างจึงค้างคาไม่เสร็จ
รัฐไทยจะตัดวงจรอุบาทว์ตึกร้างอย่างไร?
ดร.มานะ เสนอแนวทางว่านายกรัฐมนตรีต้องให้ความสำคัญ นำปัญหาเข้าสู่คณะรัฐมนตรี และเป็นเจ้าภาพจัดระบบหน่วยงาน ตั้งคณะกรรมการรวบรวมข้อมูล ปัญหา และทิศทางแก้ไข เริ่มจากสำรวจจำนวนสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ประสบความสำเร็จ เพื่อเห็นว่าหน่วยงานใดมีตึกร้างมากที่สุด แล้วตรวจสอบทีละจุดว่าเกิดจากคอร์รัปชัน ข้าราชการขายงาน หรือความผิดของเอกชน พร้อมทั้งย้ำว่าไม่อาจโยนทั้งหมดให้ ป.ป.ช. เพราะความเสียหายมีทั้งส่วนคอร์รัปชันที่เข้าสู่ ป.ป.ช. ได้ และส่วนของความด้อยสมรรถภาพและความไม่รับผิดชอบของผู้บริหารกระทรวงต่างๆ
ส่วนมุมเชิงนโยบาย ศิริกัญญาเสนอให้แปลง “คำใหญ่ๆ” ให้เป็นข้อปฏิบัติจริง
“มันเป็นเรื่องในเรื่องเชิงนโยบายล้วนๆ ว่าแต่ละปีเราจะจัดการกับงบประมาณก้อนนี้แบบไหน เราก็จะเห็นว่าในเชิงกระบวนการ ทุกปีนายกรัฐมนตรีจะออกมาให้นโยบายในการจัดสรรงบประมาณ แล้วเราลองย้อนกลับไปดู แต่ละปีก็จะออกมาหน้าตาเหมือนๆ กันหมด ว่าต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด คุ้มค่า แล้วก็คำนึงถึงความซ้ำซ้อน
“แต่ว่าในเชิงปฏิบัติ ไอ้พวกคำลอยๆ คำใหญ่ๆ พวกนี้มันไม่เคยถูกแปลงให้เป็นวิธีการปฏิบัติจริงๆ ดังนั้นตัวหัวของรัฐบาลก็คือนายกรัฐมนตรี จะต้องใช้โอกาสในการที่เขาต้องมีการแถลงนโยบายงบประมาณประจำปีกับข้าราชการแบบทุกหมู่เหล่าต้องมาฟัง ในการที่จะให้นโยบายในเรื่องนี้ว่า ก่อสร้างยังจำเป็นมั้ย เช่าเอาดีกว่ามั้ย ต่อไปนี้ไอ้ความหรูหราโอ่อ่าต้องตัดทิ้งไปให้หมด”
“ไม่อย่างงั้นข้าราชการเขาก็จะไม่ได้ต้องกังวล เพราะว่ามันไม่ใช่เงินเขาอยู่แล้ว ถ้าเป็นสิทธิ์ที่เขาพึงได้ เขาก็ขอแบบจัดเต็ม แถมแบบบางทีก็บวกๆ ในเรื่องของความแบบหรูหรา สะดวกสบายไปอีก โดยที่มันไม่ได้ยึดโยงอะไรกับการที่จะสร้างบริการที่ดีให้กับประชาชน สร้างความสะดวกสบายให้กับประชาชนที่เข้าไปติดต่อขอรับบริการเลย”
เธอยังระบุว่า ขณะนี้จำเป็นต้องมี หน่วยงานเจ้าภาพ ดูแล โดยเข้าใจว่า สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.) กำลังรวบรวมข้อมูลตึกร้างที่ไม่ได้ใช้หรือใช้ไม่เต็มศักยภาพ และเมื่อรายงานเสร็จ เธอจะขอเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว
อีกประเด็นคือความขัดแย้งระหว่างส่วนกลางกับท้องถิ่น ตามที่ ดร.มานะ เรียกว่า “ส่วนกลางยัดเยียดสิ่งที่ท้องถิ่นไม่ได้ขอ” เช่น สนามกีฬา ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ประปา เขื่อน หรือพิพิธภัณฑ์ ที่สร้างโดยไม่ถามความต้องการของพื้นที่ จนถูกทิ้งร้างและกลายเป็นภาระ ซึ่งต้องพูดคุยกันอย่างจริงจังเรื่องความรับผิดชอบ
“เพราะฉะนั้นเจ้าภาพในการแก้ คือคนที่ต้องรับผิดชอบว่ามึงจะต้องแก้ เมื่อหาเจ้าภาพได้ออกคำสั่งเลยว่าถ้าสร้างไม่เสร็จ มึงห้ามสร้างใหม่ หน่วยงานนี้ ใช่มั้ย? ไม่อย่างนั้นมันไม่เดือดร้อนไง ต้องบอกเลยว่าการท่องเที่ยวมึงสร้างอันนี้ มึงมีปัญหาอยู่ 10 หลัง มึงเคลียร์ให้เสร็จก่อน ถ้าไม่เสร็จ มึงห้ามก่อสร้างเพิ่ม”
“อันนี้คืออีกประเด็นหนึ่งที่บอกว่า ความคุ้มค่าในการใช้งาน โดยรวมทั้งหมดมันคือเงินภาษีของประชาชน และโอกาสของประเทศในการใช้เงินเหล่านี้ไปในการบริหารจัดการประเทศ ใช้ไปในการทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ”
ขณะเดียวกัน ศิริกัญญายอมรับว่า กรรมาธิการกว่า 70 คน และอนุกรรมาธิการกว่า 80 คน ไม่สามารถตรวจสอบงบประมาณทั้งหมดได้ในเวลาอันสั้น เธอเชื่อว่า หากมีหน่วยงานเจ้าภาพสำรวจจำนวนตึกร้าง บันทึกและเผยแพร่ต่อสาธารณะ ประเทศไทยจะมี “ตาอีกเป็นล้านคู่” ช่วยค้นหา ตรวจสอบ วิพากษ์ และกระตุ้นให้เกิดการกำกับดูแลที่เข้มงวดยิ่งขึ้น
และ ดร.มานะ ได้ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ถ้าดูการใช้เงินของหน่วยงานรัฐ จะเห็นได้ชัดเลยว่าประเทศไทยไม่ได้จน เรามีเงินไว้ทำหลายสิ่งมากมาย แต่ระหว่างทางกลับเต็มไปด้วยการคอร์รัปชันหรือการใช้เงินภาษีของประชาชนอย่างไร้ความรับผิดชอบ กลายเป็นส่วนสำคัญให้ไทยสูญเสียโอกาสในการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศ
โดยประชาชนอย่างพวกเราก็ไม่รู้ตัวเลยว่าสิ่งดีๆ ที่พวกเราควรได้รับ มันได้หายไปกับความชั่วร้ายของคนบางกลุ่มในสังคมไทย