หนี้ครัวเรือนไทยลดลง 7 ไตรมาสติดเหลือ 86.8% ต่อ GDP ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ใกล้กลับสู่ระดับก่อนโควิด ขณะที่ข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) เผยสินเชื่อแบงก์พาณิชย์หดตัว 15 เดือนติดต่อกันในสิงหาคม สอดรับกับภาพรวมเศรษฐกิจไทยอ่อนแอ ท่ามกลางปัจจัยท้าทาย ส่งผลให้แบงก์พิจารณาปล่อยสินเชื่อใหม่อย่างระมัดระวัง
ตามข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แสดงให้เห็นว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือน ณ ไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 อยู่ที่ 86.8% ต่อ GDP นับเป็นการปรับตัวลดลง 7 ไตรมาสติดต่อกัน และแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 5 ปี ตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปี 2563 (ซึ่งอยู่ที่ 84.6% ต่อ GDP) หรือใกล้สู่ระดับก่อนโควิด
สำหรับมูลหนี้รวม (เงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนรวม) อยู่ที่ 16.3 ล้านบาท โดยจำนวนนี้ เป็นสินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลสูงสุด รองลงมาคือ เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์
คนไทยเป็นหนี้ ‘บ้าน-อุปโภคบริโภค’ มากสุด (ส่องหนี้ครัวเรือนจำแนกตามวัตถุประสงค์ 2Q68)
- เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ 5,664,332 ล้านบาท
- อุปโภคบริโภคส่วนบุคคลอื่น 4,684,502 ล้านบาท
- เพื่อประกอบอาชีพ 2,890,823 ล้านบาท
- ซื้อหรือเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ 1,557,477 ล้านบาท
- บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับของธปท. 1,314,672 ล้านบาท
- อื่นๆ 845,196 ล้านบาท
- เพื่อการศึกษา 666,480 ล้านบาท
สินเชื่อแบงก์พาณิชย์หดตัว 15 เดือนติดต่อกัน
ทั้งนี้ ตามข้อมูลจาก บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) ซึ่งติดตามสินเชื่อและเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ไทย 17 แห่ง พบว่า เงินให้สินเชื่อและดอกเบี้ยค้างรับสุทธิอยู่ที่ 13.49 ล้านล้านบาท ณ สิ้น สิงหาคม 2568 ลดลง 1.35% YoY โดยเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 15 (นับตั้งแต่มิถุนายน 2567)
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังระบุว่า ภาพสินเชื่อที่หดตัว สอดรับกับภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอและมีแนวโน้มขยายตัวในกรอบต่ำ ท่ามกลางปัจจัยท้าทายหลายประการ ส่งผลให้ธนาคารให้ความสำคัญกับการดูแลปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ และพิจารณาการปล่อยสินเชื่อใหม่อย่างระมัดระวัง
ด้านเงินรับฝาก ธนาคารพาณิชย์ไทย 17 แห่ง อยู่ที่ระดับ 16.18 ล้านล้านบาท ณ สิ้นสิงหาคม 2568 ขยายตัว 2.66% YoY เนื่องจากฐานเปรียบเทียบที่ต่ำในช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งเดือน ส.ค. 2567 เป็นเดือนที่มีการเปิดจำหน่ายทั้งสลากออมทรัพย์ของ SFI และพันธบัตรออมทรัพย์ของรัฐบาล
ภาพ: C.J. Burton/GettyImages