×

แม่ทัพใหญ่ ‘ไทยเบฟ’ เชื่อฝีมือรัฐบาลใหม่กระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2569 เดินหน้าลงทุน 9,000 ล้านบาท หนุนการเติบโตทุกกลุ่มธุรกิจ

30.09.2025
  • LOADING...
ไทยเบฟ

ฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังเผชิญความท้าทายจากการเติบโตที่ชะลอตัว รวมถึงความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้า การปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ตลอดจนภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ล้วนส่งผลให้ภาคธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวและตั้งรับอย่างต่อเนื่อง

 

ยอมรับว่าภาพรวมเศรษฐกิจไม่เอื้อ แต่ไทยเบฟยังเดินหน้าสร้างโอกาสการเติบโตต่อเนื่อง สะท้อนจากผลประกอบการ 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568 มีรายได้จากการขายรวม 258,621 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) อยู่ที่ 45,026 ล้านบาท ลดลงเพียง 4.0% จากปีก่อนหน้า

 

พร้อมประเมินแนวโน้มตั้งแต่เดือนตุลาคม 2568 เป็นต้นไป จะเริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกมากขึ้น เพราะเชื่อมั่นต่อบทบาทของรัฐบาลใหม่ ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ที่กระตุ้นเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นมาตรการคนละครึ่ง รวมถึงการเร่งเจรจาระดับภาคีที่มีรัฐมนตรีเข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้น ตลอดจนการแสดงจุดยืนบนเวทีนานาชาติ ซึ่งสะท้อนถึงทิศทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปสู่การเติบโตในอนาคต

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

ภายใต้บริบทดังกล่าว ไทยเบฟยังคงเดินหน้ากลยุทธ์ PASSION 2030 เพื่อสร้างรากฐานธุรกิจให้แข็งแกร่งและยั่งยืน โดยเน้น 2 กลยุทธ์หลัก ได้แก่

 

  1. การเข้าถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ผ่านมาได้กระจายสินค้าให้เข้าถึงผู้บริโภคทุกพื้นที่ ผ่านระบบโลจิสติกส์ที่ครอบคลุมทั้งร้านค้า โมเดิร์นเทรด และร้านโชห่วย เพื่อขยายศักยภาพการเติบโตและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคกว่า 8,000 ล้านคนทั่วโลก

 

  1. การใช้ดิจิทัลขับเคลื่อนธุรกิจ พัฒนาเครื่องมือและโปรแกรมติดตามการเคลื่อนไหวของสินค้า เพิ่มประสิทธิภาพด้านการขายและการบริการ โดยบทเรียนจากโควิดชี้ให้เห็นว่าการละเลยผู้บริโภคและคู่ค้าจะทำให้เส้นทางการจัดจำหน่ายสะดุด ไทยเบฟจึงให้ความสำคัญกับการเข้าใจลูกค้าและพันธมิตรอย่างใกล้ชิด

 

สำหรับงบลงทุนปี 2569 ไทยเบฟตั้งไว้ 9,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ธุรกิจสุรา 2,000 ล้านบาท ธุรกิจเบียร์ 2,000 ล้านบาท ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 4,000 ล้านบาท และธุรกิจอาหาร 1,000 ล้านบาท แม้จะไม่มีโครงการใหญ่ในปีหน้า แต่การลงทุนด้านซอฟต์แวร์และดิจิทัลถือเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมศักยภาพธุรกิจ ขณะเดียวกัน บริษัทตั้งเป้ายกระดับมูลค่าตลาด (Market Cap) ในเอเชียแปซิฟิก แม้ล่าสุดจะอยู่ที่อันดับ 11 จากเดิมอันดับ 10

 

ฐาปน กล่าวต่อถึงผลการดำเนินงานรายกลุ่มธุรกิจ เริ่มตั้งแต่ ธุรกิจสุรา

ช่วง 9 เดือน ปี 2568 มีรายได้จากการขาย 92,778 ล้านบาท ทรงตัวจากปีก่อน แม้ปริมาณขายรวมลดลง 0.8% และ EBITDA ลดลงเป็น 22,161 ล้านบาท จากค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่เพิ่มขึ้น กลุ่มยังคงเดินหน้าขยายแบรนด์ รวงข้าว ให้กลับมาโดดเด่น และส่งออกแบรนด์ PRAKAAN ไปยังสหราชอาณาจักรและตลาดต่างประเทศ พร้อมให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนวัตถุดิบและการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านโฆษณาอย่างรอบคอบ

 

เช่นเดียวกับ ธุรกิจเบียร์ มีรายได้จากการขาย 96,497 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 0.3% จากปีก่อน สาเหตุหลักจากตลาดเวียดนาม แม้ปริมาณขายรวมเพิ่มขึ้น 4.8% แต่การแข่งขันสูง อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA margin) เพิ่มขึ้นจาก 12.5% เป็น 13.0% ส่งผลให้ EBITDA เพิ่มขึ้น 4.0% เป็น 12,573 ล้านบาท ปัจจัยหนุนสำคัญมาจากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงและประสิทธิภาพการผลิต

 

กลยุทธ์หลักยังคงเน้นยกระดับตราสินค้า ‘ช้าง’ และรักษาความเป็นผู้นำของ ซาเบโก้ ในเวียดนาม พร้อมทั้งลงทุนสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาแห่งใหม่ในเวียดนามเพื่อพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ รวมถึงเพิ่มสัดส่วนถือหุ้น Saigon Binh Tay Beer Group JSC (Sabibeco) จาก 21.8% เป็น 65.9% เพื่อเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงานร่วมกัน

 

ขณะที่ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 49,326 ล้านบาท ลดลง 0.7% แม้ปริมาณขายรวมเพิ่มขึ้น 0.4% แต่ EBITDA ลดลง 6 3% เหลือ 8,718 ล้านบาท จากการลงทุนด้านการตลาดและตราสินค้าที่สูงขึ้น ในปี 2569 บริษัทเตรียมขยายโรงงานในกัมพูชา รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น ถึงแม้จะมีสถานการณ์ตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งยอมรับว่ามีผลกระทบเล็กน้อย แต่ในบริบทของประชาชนไม่ได้รู้สึกตึงเครียดขนาดนั้น ก็ต้องประคับประคองให้เกิดความสมดุลและเหมาะสม

 

นอกจากนี้ ยังเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ทั้งแบรนด์ โออิชิ กรีนที คริสตัล น้ำอัดลมเอส และยังได้ต่อยอดการผนึกกำลังจากการรวมธุรกิจและการดำเนินงานของ F&N ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์นมใหม่ๆ ในประเทศไทย ซึ่งรวมถึง NutriWell (นิวทริเวล) เครื่องดื่มนมถั่วเหลืองพรีเมียม ซึ่งได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มทางเลือกเพื่อสุขภาพ ปัจจุบันได้ขยายจุดจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ คาดว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยตั้งเป้าให้ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์เติบโตไม่ต่ำกว่าสองหลักในปี 2569

 

และธุรกิจอาหาร ในช่วง 9 เดือน ปี 2568 มีรายได้จากการขาย 16,563 ล้านบาท ลดลง 1.4% และ EBITDA อยู่ที่ 1,578 ล้านบาท เนื่องจากผลกระทบความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลงและต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ถึงอย่างไรธุรกิจยังคงเติบโตเชิงบวก โดยเฉพาะแบรนด์ KFC ที่ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคไทยเป็นอย่างดี

 

ส่วนแผนปี 2569 เตรียมขยายร้าน KFC เพิ่มอีก 40 สาขา และเตรียมปรับโฉมร้านโออิชิ บุฟเฟ่ต์ให้ทันสมัย ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้น โดยยึดกลยุทธ์สร้างคุณค่าและประสบการณ์ให้ลูกค้า มากกว่าการแข่งขันด้านราคา

 

ส่วนการสร้างแบรนด์ใหม่ บริษัทมองว่าเป็นเรื่องที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเทรนด์ธุรกิจอาหารเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เห็นได้จากการเปิดศูนย์การค้าใหม่ๆ ที่เต็มไปด้วยแบรนด์อาหารหน้าใหม่จำนวนมาก ซึ่งอาจจะได้รับความนิยมในช่วงแรก แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะหายไปในเวลาอันสั้น ซึ่งไทยเบฟมองว่าการสร้างแบรนด์ จะต้องยั่งยืนและเติบโตได้ในระยะยาว

 

ฐาปน ย้ำว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไทยเบฟยังสามารถปรับตัวได้เหมือนช่วงการแพร่ระบาดโควิด โดยให้ความสำคัญกับการบริหารค่าใช้จ่ายและรักษาความมั่นคงทางการเงิน และคาดว่าในปี 2569 ธุรกิจยังสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย แต่หากสถานการณ์ไม่เอื้อ บริษัทจะไม่ปรับเป้ายอดขาย แต่จะเปลี่ยนวิธีการบริหารแทน เพราะเชื่อว่าทุกๆ ธุรกิจยังคงมีศักยภาพที่จะสร้างโอกาสโต

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising