SET Index ดิ่งต่อทำนิวโลว์ของปี 2566 และทำจุดต่ำสุดใหม่ในรอบ 2 ปี 11 เดือน ผวาสงครามอิสราเอล-ฮามาสยืดเยื้อ อิหร่านโดดร่วมวงสงคราม ปิดช่องแคบฮอร์มุซ เสี่ยงดันราคาน้ำมันพุ่ง เงินเฟ้อทะยาน ทำดอกเบี้ยขึ้นต่อ
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในระหว่างการซื้อ-ขายวันนี้ (16 ตุลาคม) ที่ปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดใหม่ของปี 2566 เนื่องจากแรงกระแทกจากความกลัวในสถานการณ์สงครามอิสราเอลกับฮามาสที่เพิ่มความตึงเครียดและทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยปิดทำการ 3 วันที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 13-15 ตุลาคม) ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยที่กลับมาเปิดทำการในวันนี้มีแรงเทขายออกมาเพื่อลดความเสี่ยงจากความกังวลดังกล่าวที่อั้นมาในช่วง 3 วันที่ตลาดไทยปิดทำการ ขณะที่ SET Index ที่ร่วงหนักในวันนี้มากกว่า 30 จุด ปรับตัวลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
เนื่องจากมีความกังวลถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกว่ามีความเสี่ยงที่จะทะยานขึ้น แม้จะเป็นปัจจัยบวกกับหุ้นพลังงานของไทย แต่จะเป็นปัจจัยกดดันเร่งให้อัตราเงินเฟ้อกลับมาเร่งตัวขึ้นอีกครั้ง
อีกทั้งจากสถานการณ์ภาวะสงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาสที่กำลังดำเนินอยู่ปัจจุบัน มีความกังวลว่าจะขยายวงกว้างไปสู่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคที่จะเข้ามาร่วมสงครามเพิ่มเติม โดยเฉพาะประเทศอิหร่านที่ล่าสุดออกมาเตือนอิสราเอลไม่ให้เริ่มปฏิบัติการบุกภาคพื้นดินในฉนวนกาซาที่กลุ่มติดอาวุธฮามาสควบคุม หากอิสราเอลยังดำเนินการต่ออิหร่านก็พร้อมเข้าแทรกแซง
นอกจากนี้ ปัจจุบันอิหร่านยังควบคุมช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญในการขนส่งน้ำมันออกจากอ่าวเปอร์เซียที่ผลิตออกมาจำหน่ายต่อ ซึ่งคิดเป็นปริมาณ 20% ของน้ำมันดิบที่ซื้อ-ขายอยู่ทั่วโลก โดยหากอิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซก็มีความเสี่ยงที่ราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นได้ กระทบให้ปัญหาเงินเฟ้อกลับมาได้
“เงินเฟ้อรอบนี้ถ้ากลับมาถือว่าน่ากลัวมากกว่าทุกรอบ เพราะถ้าหากธนาคารต่างๆ ขึ้นดอกเบี้ยเพื่อใช้สกัดเงินเฟ้ออีก คิดว่าเศรษฐกิจโลกที่กำลังชะลอตัวคงรับไม่ไหวแล้ว ตรงนี้จึงเป็นปัจจัยกดดันความกังวลที่จะเกิดขึ้นตามมา”
ประกอบกับมีปัจจัยภายในโครงสร้างตลาดหุ้นของไทยที่มีโปรแกรมเทรดดิ้งที่เร่งให้มีแรงขายเสริมออกมาเพิ่มเติม เมื่อดัชนีหรือราคาหุ้นลงไปแตะทริกเกอร์ที่ตั้งโปรแกรมไว้ อีกทั้งเมื่อราคาลดลงต่อก็จะมีการเรียกหลักประกันเพิ่ม (Margin Call) และมีแรงขายจากการบังคับขาย (Force Sell) ตามออกมา
สำหรับ Downside ของตลาดหุ้นไทย หลังจาก SET Index หลุดแนวรับแรกที่ 1,420 จุด ประเมินแนวรับถัดไปที่ระดับ 1,400 จุด โดยเชื่อว่าเป็นระดับราคาที่ซึมซับความกังวลกรณีของอิหร่านร่วมวงสงครามไปแล้วในระดับหนึ่ง แต่ขณะนี้ยังสามารถคาดเดาสถานการณ์ต่อไปได้ยาก และยังเป็นปัจจัยหลักที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป โดยหากสถานการณ์มีแนวโน้มเลวร้ายและรุนแรงเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาด ก็มีความเสี่ยงที่ SET Index จะปรับตัวลดลงหลุดระดับ 1,400 จุดได้เช่นกัน
ด้านคำแนะนำการลงทุน สำหรับนักลงทุนเทรดดิ้งแนะนำให้ระมัดระวังการลงทุนเพราะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ส่วนนักลงทุนระยะยาวมองเป็นโอกาสทยอยเข้าซื้อในช่วงราคาหุ้นที่ลดลง ได้แก่ หุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในของไทย เช่น หุ้นค้าปลีก และอาหาร
หวั่นสงครามยืดเยื้อดันดอกเบี้ยขึ้นต่อ
ด้าน ภราดร เตียรณปราโมทย์ รองผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า SET Index ในวันนี้ระหว่างการซื้อ-ขายปรับตัวลดลงไปแตะจุดต่ำสุดใหม่ของปี 2566 ที่ระดับ 1,416.21 จุด และถือเป็นจุดต่ำสุดใหม่ในรอบ 2 ปี 11 เดือน จากปัจจัยความกังวลระหว่างอิสราเอลกับฮามาสจะยืดเยื้อต่อไป กดดันให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น จนส่งผลกระทบให้มีความกังวลว่าการประชุมของธนาคารกลางสำคัญที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ ทั้งธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed), ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งเดิมคาดว่าจะเห็นการหยุดขึ้นดอกเบี้ย จะกลับมาพิจารณาขึ้นดอกเบี้ยต่อเพื่อใช้สกัดเงินเฟ้อ
ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า SET Index วันนี้ปรับตัวลดลงสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากปัจจัยกดดันจากความกังวลสถานการณ์สงครามอิสราเอลกับฮามาสที่ยังยืดเยื้อ โดยกดดันให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียตั้งแต่วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา ปรับตัวลงเฉลี่ยราว 1% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปิดทำการในวันดังกล่าว ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลดลงชดเชยในช่วงวันที่ปิดทำการเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
สำหรับการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย ยังขึ้นกับพัฒนาการของสถานการณ์สงครามอิสราเอลกับฮามาสที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะขยายวงกว้างและยกระดับความรุนแรงไปถึงระดับใด จะเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกต่อไป อีกทั้งยังมีความกังวลจากประเด็นเรื่องความอ่อนไหวของราคาน้ำมันดิบ ซึ่งเมื่อดีดตัวขึ้นก็จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกค่อนข้างสูง
“สงครามอิสราเอลกับฮามาสมองว่ามีความน่ากังวลมากกว่าสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่รบกันครั้งแรก เพราะมีความเสี่ยงจะขยายวงกว้างออกไปมากกว่า เนื่องจากเริ่มเห็นการรวมตัวร่วมมือกันของคู่กรณีของอิสราเอล ซึ่งความขัดแย้งนี้เรื้อรังสะสมมานาน เมื่อเกิดสงครามก็จะรุนแรงมากกว่า ขณะที่ในโซนพื้นที่นั้นมีหลายกลุ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ต่อต้านไม่เอาอิสราเอลแล้ว รวมถึงพัฒนาการด้านอาวุธที่สูงขึ้นถูกนำมาใช้ โดยเฉพาะจากฝั่งอิหร่านที่ถูกกล่าวหาว่าสนับสนุนกลุ่มฮิซบอลเลาะห์กับฮามาส จึงมีโอกาสที่อิหร่านจะใช้จังหวะนี้รุกคืบอิสราเอลในช่วงที่สรรพกำลังของสหรัฐฯ ถูกลดทอนไปแล้วจากเข้าไปช่วยยูเครนทำสงครามกับรัสเซีย ถ้าสถานการณ์เพิ่มดีกรีความรุนแรงมากกว่าที่คาด SET Index ก็เสี่ยงหลุดต่ำกว่า 1,400 จุดได้”
ทั้งนี้ ประเมินว่า Downside ของตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นหรือภายในสัปดาห์นี้ น่าจะปรับตัวลดลงไม่หลุดต่ำกว่าระดับ 1,400 จุด โดยมีความคาดหวังว่าในวันพุธนี้ (18 ตุลาคม) จีนจะรายงานตัวเลข GDP ไตรมาส 3/66 ซึ่งคาดว่าจะเป็นภาพบวกต่อตลาดหุ้นไทย เพราะหากออกมาแย่มีโอกาสที่จีนจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มเติม แต่หากมีข้อมูลตัวเลขออกมาดีจะเป็นภาพบวกต่อการลงทุน
นอกจากนี้ ปัจจัยในประเทศยังต้องติดตามความคืบหน้าการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต นัดประชุมรอบที่ 2 ในวันที่ 19 ตุลาคมนี้
สำหรับคำแนะนำการลงทุน แนะนำให้ถือเงินสดเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 50% ของพอร์ตลงทุน โดยลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเหลือสัดส่วนไม่เกิน 50% ของพอร์ตลงทุนซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นที่คาดว่าจะรายงานผลประกอบการไตรมาส 3/66 ออกมาดี ได้แก่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ คือ ธนาคารกรุงเทพ (BBL), บมจ. เอสซีบี เอกซ์ หรือ SCB กับกลุ่มโรงพยาบาล คือ BCH, บมจ.เอกชัยการแพทย์ หรือ EKH
กลุ่มพลังงานที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ขยับขึ้น คือ บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ PTTEP, บมจ.บ้านปู หรือ BANPU, บมจ.ไทยออยล์ หรือ TOP โดยยังมีความเชื่อว่าในช่วงที่เหลือของปี 2566 จะเห็นพัฒนาการเชิงบวกที่จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะสงครามอิสราเอลกับฮามาส ที่คาดว่าจะไม่ขยายอาณาเขตลุกลามออกไปขยายวงกว้างจนมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโลก