ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันนี้ (5 พฤศจิกายน) ปิดการซื้อขายที่ 1,264.32 จุด เพิ่มขึ้น 41.88 จุด หรือ 3.43% มูลค่าการซื้อขาย 80,914 ล้านบาท
สรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะได้รับอานิสงส์อย่างมาก หากผลการเลือกตั้งปรากฏออกมาว่า โจ ไบเดน ได้เป็นประธานาธิบดีและกุมเสียงข้างมากในสภาล่าง แต่สภาสูง (Senate) ยังเป็นของรีพับลิกัน หรือเรียกว่ากรณี Gridlock เนื่องจากเป็นสภาวการณ์ที่ทำให้นโยบายที่สุดโต่งของทั้งสองฝ่ายมีการคานอำนาจกันเอง ทำให้ตลาดหุ้นได้ปรับตัวเพื่อรอความชัดเจนต่างๆ ที่จะทยอยตามมา
โดยอานิสงส์ต่อตลาดหุ้นประกอบด้วย 3 เรื่องหลัก เรื่องแรกคือความผันผวนในตลาดหุ้นจะลดลงทันที โดยอ้างอิงจากดัชนีความกลัวทั้ง Vix Index และ Volfefe Index ที่ปรับเพิ่มขึ้นตลอด 4 ปีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
เรื่องที่สองคือภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่จะทำให้ความน่าสนใจของตลาดหุ้นปรับเพิ่มขึ้น กล่าวคือเมื่อเดโมเครตไม่ได้ Blue Wave ความคาดหวังเกี่ยวกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจะลดลง เช่น มูลค่าการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจะก็ลดลงเหลือ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมที่ถูกคาดหวังไว้ถึง 4-5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ GDP จะถูกขับเคลื่อนด้วยการคลังและนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ เป็นหลัก รวมถึงท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ จะมีความผ่อนคลายมากขึ้น และจะยืดระยะเวลาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไป ขณะเดียวกันสหรัฐฯ จะขาดดุลการคลังลดลง รวมถึงการออกพันธบัตรจะลดลง ส่งผลให้ Bond Yield ลดลงเช่นเดียวกัน
เรื่องที่สามคือการคานอำนาจกันระหว่างสองพรรค เนื่องจากไม่มีพรรคใดพรรคหนึ่งครองอำนาจเบ็ดเสร็จในสภาคองเกรส ทำให้นโยบายต่างๆ ที่สำคัญจะค่อยๆ ดำเนินต่อไปแบบไม่สุดโต่ง ทั้งนโยบายขึ้นภาษีหรือกีดกันค่าแรง
“กรณี Gridlock จะส่งผลดีต่อหุ้นทั่วโลก ตอนนี้ยังรอการนับคะแนนอีก 4 รัฐ หนึ่งในนั้นมีรัฐสำคัญคือเนวาดา ซึ่งหากผลคะแนนของรัฐนี้เป็นของไบเดนก็จะทำให้เขาขึ้นตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐฯ ทันที แม้ว่าอีก 3 รัฐที่เหลือยังนับคะแนนไม่เสร็จ หรือนับเสร็จแล้วกลายเป็นพื้นที่ของทรัมป์ก็ตาม”
อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นๆ จะมีปัจจัยเกิดขึ้นอีกคือการยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งนับคะแนนใหม่ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่ทรัมป์จะทำเช่นนั้น และน่าจะใช้เวลาราว 2 เดือน ซึ่งจะทำให้สหรัฐฯ อยู่ในช่วงขาดผู้นำที่แน่นอน ทำให้เม็ดเงินลงทุนไหลมาสู่ตลาดหุ้นในเอเชีย รวมถึงหุ้นไทยตั้งแต่ตอนนี้จนถึงวันที่ 20 มกราคมปีหน้า
สรพลกล่าวอีกว่า สำหรับตลาดหุ้นไทยภายใต้สมมติฐานที่การเมืองในประเทศนิ่ง เชื่อว่าดัชนีจะปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1,280-1,300 จุดได้ ซึ่งเป็นจุดที่ปิด Gap ระหว่างหุ้นไทยและเพื่อนบ้าน โดยที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมากกว่าตลาดเพื่อนบ้านค่อนข้างมาก โดย Earning บจ.ไทยถูกปรับลดลงกว่า 4.4%
ส่วนกลุ่มหุ้นไทยที่น่าลงทุนยังคงเชื่อมั่นใน Value Play หรือหุ้นคุณค่า เช่น กลุ่มแบงก์ กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่มค้าปลีก โดยที่ผ่านมาล้วนปรับลดลงไปต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานค่อนข้างมาก