หลังจากดัชนี SET ของไทยร่วงลงไปทำจุดต่ำสุดใหม่ในรอบเกือบ 4 ปี ที่ระดับ 1,273.17 จุด เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม หลังจากนั้นเราก็ค่อยๆ เห็นการฟื้นตัวจนดัชนีปรับขึ้นมาเกือบ 5% ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา และหากมองในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี SET (+3.3%) ปรับขึ้นมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจาก Nikkei 225 (+4.2%) ของญี่ปุ่น, VN 30 (+3.7%) ของเวียดนาม และ Nasdaq (+3.6%) ของสหรัฐอเมริกา
ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อหุ้นไทยอีกครั้ง หากหักรายการขาย Big Lot ในหุ้น SCCC เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท ออกไป เท่ากับว่าในเดือนนี้มีโอกาสที่ต่างชาติจะพลิกกลับมาเป็นฝ่ายซื้อสุทธิเป็นเดือนแรกในรอบ 4 เดือน
สัญญาณบวกอีกอย่างหนึ่งของหุ้นไทยคือ เงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็ว จากเกือบ 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 34.1 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ภายในเวลาประมาณ 2 เดือน
และถ้าดูที่ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย แม้การเติบโตของ GDP จะยังไม่ได้โดดเด่นมากนัก โดยเฉพาะถ้าเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่การกลับมาเติบโต 2.3% ในไตรมาส 2 ก็เป็นสัญญาณที่ดีที่ทำให้นักลงทุนเริ่มมั่นใจได้ว่าเศรษฐกิจไทยอาจจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาสแรก
ในมุมมองของนักลงทุน บุคคลที่มีพอร์ตลงทุนขนาดใหญ่ของไทยอย่าง นพ.พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี เชื่อว่า พื้นฐานหุ้นไทยอาจจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงทันที เพราะปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างที่ทุกคนรู้อยู่แล้วเป็นปัญหาระยะกลางหรือระยะยาว
แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปในระยะสั้นคือ “ต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อหุ้นไทยอีกครั้ง พร้อมกับเงินบาทที่แข็งค่า ช่วยให้ต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นและบอนด์ไทยมากขึ้น”
ที่ผ่านมาหุ้นไทยต่ำกว่ามูลค่า (Undervalue) ค่อนข้างมาก แม้ว่าอาจจะไม่มีการเติบโตมากนัก แต่เมื่อถึงจุดที่หุ้นถูกเกินไป นักลงทุนจะเริ่มประเมินความคุ้มค่า
“เมื่อดัชนีลดลงไปมากๆ นักลงทุนส่วนใหญ่จะเริ่มให้มูลค่าหุ้นแต่ละตัวต่ำเกินไปและไม่สมเหตุสมผล ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติ กลับกันเวลาที่ตลาดดีมาก นักลงทุนก็มักจะให้มูลค่าสูงเกินจริง”
อย่างไรก็ตาม นพ.พงศ์ศักดิ์ เชื่อว่า หุ้นไทยที่เหมาะกับการลงทุนระยะยาวยังมีไม่มากนัก มีแค่เพียง 3-5% ของหุ้นทั้งหมด แต่ในระยะสั้นเมื่อหุ้นถูกขายมากเกินไปก็ย่อมมีอัปไซด์มากขึ้น
“บางครั้งช่วงที่ข่าวร้ายปกคลุมตลาดจะทำให้นักลงทุนโอนเอนและตัดสินใจแบบไม่สมเหตุสมผล แต่หลายครั้งช่วงที่มีข่าวดีมากๆ ก็ต้องระมัดระวังว่าอาจจะไม่ได้ดีมากเท่ากับที่ทุกคนคาดหวัง นักลงทุนต้องพยายามหาความจริงซึ่งจะนำไปสู่โอกาสในการลงทุน”
ด้าน ทิวา ชินธาดาพงศ์ นักลงทุนบุคคล มองว่า หลังจากเหตุการณ์ Black Monday 2024 “ต่างชาติไม่ได้มีแรงขายออกมามากนัก ในมุม Money Game สะท้อนว่าต่างชาติเริ่มไม่มีของจะขายแล้ว”
ขณะเดียวกันพื้นฐานของหุ้นไทยและเศรษฐกิจไทยก็ดูเหมือนจะดีขึ้น ทั้งบริษัทจดทะเบียนมีกำไรในไตรมาส 2 ที่เติบโตกว่า 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ GDP ก็ขยายตัวจากไตรมาสแรก
แม้ว่าหุ้นไทยอาจจะไม่ได้มีหุ้นเติบโตมากนัก เพราะหุ้นไทยส่วนมากเป็นวัฏจักร แต่เมื่อราคาหุ้นลดลงมาจนอยู่ในระดับที่ถูกมากแล้ว ทำให้ปัจจัยบวกเพียงเล็กน้อยก็จะช่วยให้ตลาดฟื้นตัวได้
“จริงๆ แค่ GDP เราโตได้ดีกว่าคาด สมมติจาก 2% เป็น 3% ก็มากพอที่จะทำให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวแล้ว ตลาดไม่ได้มองว่าต้องโตเท่าไร แต่มองว่าดีขึ้นกว่าที่คิดไว้หรือไม่”