SET Index ปิดตลาดเช้าวันนี้ (22 พฤศจิกายน) ที่ระดับ 1,409.66 จุด ลดลง 13.95 จุด หรือติดลบ 0.96% เปรียบเทียบจากปิดการซื้อ-ขายวานนี้ ด้วยมูลค่าซื้อขายประมาณ 19,272 ล้านบาท โดยระหว่างการซื้อ-ขายวันนี้ดัชนีลงแตะจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,407.37 จุด ลดลง 16.24 จุด เปรียบเทียบจากปิดการซื้อ-ขายวานนี้ โดยถูกกดดันมาจากแรงขายหุ้นในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มค้าปลีกและค้าส่ง รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่อย่าง AOT และ IVL
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ ระบุว่า วอลุ่มการซื้อ-ขายของตลาดหุ้นไทยต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาทติดต่อกัน 2 วัน แม้ว่าตลาดไทยจะบวกมา 2 วันทำการ แต่มีวอลุ่มของการซื้อ-ขายอยู่ที่เพียง 3.7 หมื่นล้านบาทต่อวัน โดยมองว่านักลงทุนรายย่อยไม่มั่นใจในตลาดหุ้นไทยในช่วงภาวะที่ตลาดมีความผันผวน จึงลดการเทรดลงอย่างชัดเจน ทำให้ตลาดมีความเปราะบาง จึงอาจมีแรงขายทำกำไรระยะสั้นออกมา
ขณะที่วานนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund หรือ TESG) ตลาดรับรู้ข่าวนี้ไปแล้วตั้งแต่มีข่าวการจัดตั้งกองทุน TESG โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ในเดือนธันวาคมนี้
อีกทั้งคาดว่านักลงทุนกลับมาระมัดระวังการลงทุน หลังจากรายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ส่งสัญญาณการใช้นโยบายการเงินเข้มงวดเนื่องจากเงินเฟ้อปรับตัวลดลงได้ช้า และมีความเสี่ยงที่จะเพิ่มสูงขึ้นได้ ดังนั้นเห็นว่า Fed จะยังไม่รีบร้อนลดอัตราดอกเบี้ยอย่างที่ตลาดคาดไว้ว่าจะปรับลดดอกเบี้ยกลางปี 2567 โดย Fed ระบุใช้ดอกเบี้ยระดับสูงสักระยะเวลาหนึ่ง
ด้าน บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุว่า SET Index แกว่งตัวในทางปรับตัวลดลง ซึ่งถูกกดดันมาจากแรงขายหุ้นในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มค้าปลีกและค้าส่ง รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่อย่าง AOT และ IVL โดยมาจากความกังวลนโยบายการเงินที่คุมเข้มของ Fed หลังรายงานการประชุม FOMC ในรอบที่ผ่านมา ไม่ได้ส่งสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และส่งสัญญาณว่าอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในวันข้างหน้า
ทั้งนี้ หากภารกิจในการควบคุมเงินเฟ้อไม่เป็นไปตามเป้าหมายสอดรับกับ CME FedWatch Tool ที่เริ่มเห็นน้ำหนักสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบการประชุมของ FOMC ในเดือนธันวาคมนี้ โดยให้น้ำหนัก 5% ที่ Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 5.50-5.75% จากที่ให้น้ำหนัก 0% ในช่วงต้นสัปดาห์