×

สถิติชี้หุ้นไทยเสี่ยงย่อ 4% เดือนแรกหลังประกาศยุบสภา ลุ้น Election Rally หนุน SET ฟื้นตัวช่วงใกล้เลือกตั้ง

12.12.2025
  • LOADING...
สถิติชี้หุ้นไทยเสี่ยงย่อ 4% เดือนแรกหลังประกาศยุบสภา ลุ้น Election Rally หนุน SET ฟื้นตัวช่วงใกล้เลือกตั้ง

ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยเช้านี้ (12 ธันวาคม) ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นได้เกือบ 10 จุด ทำจุดสูงสุดระหว่างวันที่ 1,263 จุด ก่อนที่ดัชนีจะอ่อนตัวลงมาอยู่ที่บริเวณ 1,255 จุด หลังจากการประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2568 เป็นที่เรียบร้อย

 

สถิติชี้หุ้นไทยมักติดลบเฉลี่ย 4% ช่วงเดือนแรกหลังยุบสภา

 

บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) เปิดเผยสถิติตลาดหุ้นไทยหลังการประกาศยุบสภาพบว่า จากสถิติการยุบสภา 5 ครั้งหลังสุด ตั้งแต่ปี 2543 ตลาดหุ้นไทยมักจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกแค่ระยะสั้นในวันแรก เฉลี่ย 0.9% ก่อนที่ตลาดจะปรับตัวลดลงเฉลี่ย 0.4% ในช่วงสัปดาห์แรก และปรับตัวลงเฉลี่ย 4.6% ในช่วงเดือนแรก

 

 

 

ด้านณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า อ้างอิงจากผลการศึกษาของเราในอดีต พบว่าการยุบสภาที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1995 เป็นต้นมานั้น มักทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับซึมลงเป็นระยะเวลา 1 เดือน โดยจุดต่ำสุดที่เกิดขึ้นจะมีค่าเฉลี่ยติดลบอยู่ที่ราว 4%

แต่บนสถานการณ์ปัจจุบัน ด้วยระดับ Valuation ของตลาดหุ้นไทยที่อยู่ในโซนที่ต่ำมากแล้ว เราจึงให้น้ำหนักตัวเลข 4% ดังกล่าวเป็นกรณีเลวร้ายสุด (Worst case) ซึ่งสุดท้ายอาจจะเห็นดัชนีระดับนี้หรือไม่เห็นก็ได้ แปลว่าระดับดัชนี SET ในกรณีแย่สุดของเรายังคงอยู่ที่บริเวณ 1,200 จุด

อย่างไรก็ตาม ความผิดหวังในระยะสั้นย่อมเกิดขึ้นแน่ โดยเฉพาะความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นการบริโภคที่หลายคนรออยู่ก่อนหน้านี้ ทั้งโครงการคนละครึ่งพลัสเฟส 2 และโครงการ Easy E-receipt ที่อาจจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ยากแล้ว หลังไม่ได้ถูกบรรจุเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้น มองว่ากลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค เช่น กลุ่มค้าปลีก มีโอกาสที่จะได้รับ Sentiment เชิงลบในระยะสั้นได้

แนะนำนักลงทุนโยกเงินส่วนหนึ่งเข้าสู่กลุ่มหุ้นปลอดภัย ในช่วงที่อาจเกิดภาพสุญญากาศทางด้านนโยบาย ได้แก่ กลุ่มการแพทย์ และกลุ่มสาธารณูปโภค อาทิ BH, BDMS, GULF, GPSC, BGRIM เป็นต้น

ทั้งนี้ หากราคาหุ้นกลุ่มค้าปลีกปรับลงมาแรงในช่วงสั้น เช่น 5% ขึ้นไป เรามองว่าจะเริ่มเป็นโอกาสในการทยอยเพิ่มน้ำหนักอีกครั้ง เนื่องจากหากอ้างอิงสถิติในอดีตจะพบว่า กลุ่มค้าปลีกมักเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ทยอยปรับตัวขึ้น (Sideways Up) เด่นชัดที่สุด ในช่วงสามเดือนก่อนหน้าการเลือกตั้งไปจนถึงสองเดือนหลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้น แม้ว่าภาวะสุญญากาศทางการเมืองในช่วง 1-2 เดือนนี้ อาจทำให้ความคาดหวังทางด้านนโยบายลดลงไปบ้าง แต่ประเมินว่าด้วยการเข้าสู่ช่วง High season ของการท่องเที่ยวและการบริโภค เมื่อมาประกอบกับ Valuation ที่อยู่ต่ำเป็นทุนเดิม ยังถือเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับกลยุทธ์ ‘Buy on Weakness’

ส่วนความคาดหวังเชิงบวกต่อนโยบายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นนั้น หากอ้างอิงจากสถิติของเราในอดีตนับตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา จะพบว่าปรากฏการณ์ Election Rally ในตลาดหุ้นไทยมักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ สองสัปดาห์ก่อนหน้าการเลือกตั้ง ไปจนถึงหนึ่งสัปดาห์หลังการเลือกตั้ง โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ 2.4% แต่หากย้อนไปไกลถึงปี 1992 จะพบว่าอัตราผลตอบแทนคาดหวังจะสูงขึ้นไปอีกถึง 4.7% ทั้งนี้ หากนํามาเทียบเคียงกับปฏิทินในรอบนี้ (คาดว่ากระบวนการ Rally ต่อปัจจัยดังกล่าวจะเริ่มต้นได้ประมาณช่วงกลางเดือนมกราคมเป็นต้นไป)

 

จับตา Election Rally หนุนหุ้นไทยช่วงสั้น

 

ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า การยุบสภาเร็วกว่าคาดไม่ได้เปลี่ยนมุมมองเดิมของนักลงทุน ที่มองว่ารัฐบาลชุดนี้ จะมีวาระบริหารงานชั่วคราว ทำให้ตลาดไม่ได้ตอบรับเชิงลบ จะเห็นได้จากการเคลื่อนไหวของดัชนี SET เช้านี้ที่เปิดบวก

 

ทั้งนี้เมื่อยุบสภาเร็ว การจัดการเลือกตั้งก็จะเร็วขึ้นด้วย หากย้อนดูสถิติการเลือกตั้งย้อนหลัง 8 ครั้งที่ผ่านมา พบว่าช่วงหนึ่งเดือนก่อนการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นประมาณ 1.5-2%

 

ดังนั้น ในระยะสั้นดัชนีจะเคลื่อนไหวแบบ Sideway รอจังหวะพักตัว พอเข้าใกล้วันเลือกตั้งนักลงทุนจะกลับเข้ามาเก็งกำไร ทั้งนี้หุ้นกลุ่มที่ได้อานิสงส์ช่วงการเลือกตั้งจะเป็นกลุ่มการเงิน ค้าปลีก และสื่อ สำหรับผลกระทบต่อตลาดหุ้นในระยะยาวยังตอบลำบาก ขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้งว่าพรรคไหนก็จะได้จัดตั้งรัฐบาล

 

ด้านประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่า ช่วงหลังประกาศยุบสภาตลาดหุ้นมักตอบรับเชิงบวก โดยเฉพาะช่วงสองสัปดาห์ก่อนการเลือกตั้ง ปัจจัยที่ต้องจับตาคือการเคลื่อนไหวของหุ้น DELTA ซึ่งมีมูลค่าตลาดมากที่สุด ทำให้มีน้ำหนักในดัชนี SET มากถึง 13-14%

 

หาก ครม.มีมติอนุมัติโครงการบัญชีการออมการลงทุนส่วนบุคคล หรือ Thailand Individual Savings Account (TISA) ให้เริ่มดำเนินการกลางปี 2569 จะจูงใจนักลงทุนที่ถือครองกองทุนรวม RMF และ LTF ไถ่ถอนกองทุนคืน และหันมาลงทุนเองผ่าน TISA เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนภาษีโดยตรง ส่งผลให้หุ้น DELTA อาจปรับตัวลงแรง จากการที่กองทุนส่วนใหญ่ซึ่งถือครองหุ้นถูกเทขาย แต่ในกรณที่ TISA ไม่ได้ไปต่อ หุ้น DELTA อาจปรับดีขึ้น และกลายเป็นแรงหนุนให้กับตลาดหุ้นไทย

 

นอกจากนี้ช่วงเลือกตั้งจะเกิดการเสริมสภาพคล่องให้กับประชาชน เพื่อสนับสนุนนโยบายหาเสียงที่แก้ปัญหาเรื่องปากท้อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภค การเงิน อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง คาดว่าการเลือกตั้งจะจัดขึ้นเร็วสุด 1 กุมภาพันธ์ 2569 ช้าสุดไม่เกิน 8 กุมภาพันธ์ 2569

 

ประกอบกับ เดือนมกราคมจะเป็นช่วงประกาศงบการเงินของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จ่ายปันผลสิ้นงวด (Final Dividend) ซึ่งจะเป็นแรงหนุนให้หุ้นกลุ่มธนาคาร ทำให้ภาพรวมตลาดหุ้นไทยเป็นไปในเชิงบวก

 

ทั้งนี้ต้องติดตามปัจจัยต่างประเทศ การที่เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะดุลยภาพ ‘Goldilocks Economy’ ซึ่งเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ขณะที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ อาจชะลอออกไป ซึ่งเป็นผลมาจากท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่มีแนวโน้มชะลอการปรับลด อัตราดอกเบี้ยออกไปในปี 2569 ช่วงเดือนมกราคมและมีนาคม ที่อาจจะปรับลดอีกทีเดือนมิถุนายน

 

รวมถึงต้องรอดูตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะประกาศล่าช้าหลังเดือนมกราคม จากผลกระทบ Goverment Shutdown เช่นเดียวกับการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่จะจัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์

 

ดังนั้น ในเดือนมกราคมปัจจัยต่างประเทศ จึงไม่ได้ส่งแรงหนุนต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก เมื่อเทียบกับปัจจัยในประเทศ อย่างไรก็ตาม ดัชนี SET มีโอกาสปรับขึ้นไปที่ระดับ 1,300 จุด แต่ไม่เกิน 1,340 จุด

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising