บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันนี้ (23 สิงหาคม) มูลค่าการซื้อขายเป็นไปอย่างคึกคัก โดยสูงถึง 114,581 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยปิดตลาดที่ 1,582.07 จุด เพิ่มขึ้น 28.89 จุด หรือ 1.86%
สำหรับการซื้อขายของนักลงทุนรายกลุ่ม พบว่ามีเพียงกลุ่มผู้ลงทุนรายย่อยที่เป็นผู้ขายสุทธิ
- นักลงทุนสถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 5,118.10 ล้านบาท
- บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 439.39 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 2,781.56 ล้านบาท
- นักลงทุนทั่วไปในประเทศ ขายสุทธิ 8,339.05 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายมากสุด 5 อันดับแรก คือ
KBANK ปิดที่ 118 บาท +9.50 บาท หรือ +8.76% มูลค่าการซื้อขาย 8,368 ล้านบาท
BBL ปิดที่ 112.50 บาท +8.50 บาท หรือ +8.17% มูลค่าการซื้อขาย 4,304.38 ล้านบาท
CPALL ปิดที่ 61 บาท +3 บาท หรือ +5.17% มูลค่าการซื้อขาย 3,842.80 ล้านบาท
SCB ปิดที่ 105 บาท +6.25 บาท หรือ +6.33% มูลค่าการซื้อขาย 3,709.47 ล้านบาท
PTT ปิดที่ 36 บาท +1 บาท หรือ +2.86% มูลค่าการซื้อขาย 3,141.55 ล้านบาท
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับขึ้นต่อเนื่องตลอดทั้งวัน สาเหตุหลักมาจากสถานการณ์โควิดในประเทศที่ส่งสัญญาณดีขึ้นในหลายมิติ ประกอบด้วยตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ลดลง ขณะที่ตัวเลขผู้รักษาหายและกลับบ้านเพิ่มขึ้น รวมถึงประกาศจากสาธารณสุขที่ระบุจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันของประเทศไทยได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว นอกจากนี้ยังมีข้อมูลการจัดหาวัคซีนที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเป็นอย่างมาก
ขณะเดียวกันยังมีสัญญาณด้านบวกทางเศรษฐกิจหลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดมาตรการใหม่ที่ช่วยลดต้นทุนทางการเงินและสร้างความยืดหยุ่นให้กับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ของไทยเพิ่มขึ้น จึงมีการคาดการณ์ถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในประเทศ
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ ประเมินว่าดัชนียังปรับเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง โดยแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,600 จุด หากเริ่มเข้าใกล้แนวต้านดังกล่าวก็อาจได้เห็นการย่อตัวลงบ้าง เนื่องจากสถานการณ์โควิดในประเทศยังไม่ได้คลี่คลายทั้งหมด ขณะเดียวกัน ในปลายสัปดาห์ยังมีประเด็นต้องติดตามคือการประชุมครั้งสำคัญของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งจะมีผลต่อทิศทางการลงทุนของเม็ดเงินต่างชาติ
ฝ่ายวิจัย บล.เคทีบีเอสที ระบุว่า การที่ภาครัฐพยายามจัดหาวัคซีนเพิ่มขึ้น รวมถึงแผนการเปิดเมืองได้ในเดือนกันยายน 2564 และเปิดดประเทศได้ช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2564 เป็นผลบวกต่อหุ้นไทย
โดยหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์มากที่สุดได้แก่ CENTEL, CRC, AAV, AOT, KTC, KBANK จากการที่เราประเมินว่ามีโอกาสที่จะสามารถเปิดเมืองได้ในช่วงเดือนกันยายนปีนี้ และจะเปิดประเทศได้ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมปีนี้ จากจำนวนผู้ได้รับวัคซีนที่มากขึ้น ซึ่งจะเป็นบวกต่อภาพรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งการจับจ่ายใช้สอยและการท่องเที่ยวในประเทศให้กลับมาฟื้นตัวได้
อย่างไรก็ตาม จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะยังขึ้นอยู่กับประเทศต่างๆ ทั่วโลกว่าจะมีการเปิดประเทศเช่นเดียวกันหรือไม่ ซึ่งปัจจุบันประเทศในกลุ่มยุโรปบางประเทศ และสหรัฐฯ ให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วสามารถเดินทางเข้าประเทศโดยไม่ต้องกักตัว และคาดว่าประเทศในเอเชียต่างๆ จะทยอยเปิดประเทศมากขึ้น ขณะที่จีน แนวโน้มการเปิดประเทศจะยังช้า เนื่องจากมีความระมัดระวังในการแพร่ระบาดค่อนข้างมาก
เตรียมพบกับฟอรัมที่ผู้บริหาร ‘ต้องดู’ ก่อนวางแผนกลยุทธ์ปีหน้า! The Secret Sauce Strategy Forum คัมภีร์กลยุทธ์ฝ่าวิกฤตปี 2022
📌 เฟรมเวิร์กกลยุทธ์ใช้ได้จริง
📌 ฉากทัศน์เศรษฐกิจไทย-โลก
📌 เทรนด์ผู้บริโภค-การตลาด
📌 เคสจริงจากผู้บริหาร
พิเศษ! บัตร Early Bird 999 บาท วันนี้ถึง 27 สิงหาคมนี้เท่านั้น
ซื้อบัตรได้แล้วที่ www.zipeventapp.com/e/the-secret-sauce