ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยหลังผ่านเดือนมกราคม ปรากฏว่าดัชนี SET ร่วงลงมาปิดที่ 1,364.52 จุด ลดลง 51.33 จุด หรือราว 3.6% จากปลายปีก่อน ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเทขาย 3.08 หมื่นล้านบาท โดยตลอดทั้ง 22 วันทำการที่ผ่านมา ต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น ขณะที่นักลงทุนรายย่อยเป็นฝ่ายซื้อสุทธิมากที่สุด 3.14 ล้านบาท
หุ้นไทยเข้าสู่ภาวะสุญญากาศ
ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยแย่มาสักระยะหนึ่งแล้ว ตอนนี้ทั้งหุ้นไทยและเศรษฐกิจไทยเหมือนอยู่ในภาวะสุญญากาศ
ปัจจัยหลักเกิดจากการที่ร่างงบประมาณปี 2567 ยังไม่เสร็จสิ้น ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังไม่ได้กระเตื้องขึ้นมา ขณะเดียวกันผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมทั้งปี 2566 ก็ไม่ได้น่าตื่นเต้นนัก ส่วนระยะสั้นนักลงทุนยังรอติดตามผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่จะทราบในคืนวันพรุ่งนี้ (1 กุมภาพันธ์)
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเรื่องการเมืองในประเทศหลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล มีพฤติกรรมล้มล้างการปกครอง จากการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
“สิ่งที่ต้องติดตามในมุมการเมืองคือ อาจมีการร้องเพื่อให้พิจารณายุบพรรคก้าวไกลต่อเนื่องหลังจากนี้ ซึ่งต้องติดตามดูว่าจะมีแรงกระเพื่อมตามมาหรือไม่ หากไม่มีก็อาจจะไม่ได้กดดันหุ้นไทยไปมากกว่านี้”
อย่างไรก็ดี หุ้นไทยชะลอตัวมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ พร้อมกับต่างชาติที่เทขายต่อเนื่อง การที่จะเห็นตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวได้หลังจากนี้ต้องติดตาม 2 ปัจจัยคือ
- การประกาศเงินปันผลกลุ่มธนาคารช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้นักลงทุนอาจเข้ามาซื้อเพื่อรับเงินปันผล
- ร่างงบประมาณปี 2567 ที่น่าจะผ่านได้ในช่วงครึ่งหลังของเดือนเมษายน ทำให้ความคาดหวังต่อเศรษฐกิจกลับมาอีกครั้ง
“ระหว่างนี้ตลาดหุ้นไทยน่าจะยังเป็นการแกว่งตัวออกข้างต่อไป อาจเห็นการฟื้นตัวได้บ้างหลังจากลงไปแตะระดับ 1,350 จุด”
FETCO จับตาพัฒนาการการเมือง-หุ้นไทยเสี่ยงนิวโลว์
ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ และกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ‘พิธา-ก้าวไกล’ เสนอแก้ ม.112 เป็นการล้มล้างการปกครองนั้น ประเมินว่าอาจสร้างความกังวลในด้านจิตวิทยาการลงทุน รวมถึงบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยบ้าง แต่ยังคงต้องติดตามพัฒนาการสถานการณ์ที่มีความเกี่ยวข้องต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งยังคาดเดาได้ยาก
อย่างไรก็ดี นักลงทุนส่วนใหญ่ยังให้ความสำคัญกับปัจจัย คือประเด็นเศรษฐกิจและความสามารถในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลไทย ว่าจะสามารถบริหารแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ดีแค่ไหน ส่วนเป้าหมาย SET Index ในสิ้นปี 2567 ให้เป้าหมายไว้ที่ 1,500 จุด
“วันนี้ยังมีความสับสนอยู่ว่าเศรษฐกิจไทยแย่ขนาดไหน เพราะตัวเลข GDP ปีที่แล้วที่ประกาศออกมาไม่ดีเท่าไร ส่วนปีนี้ทุกคนก็มีความหวังว่ารัฐบาลผลักดัน GDP ของไทยให้กลับมาเติบโตได้เกิน 3% จากปัจจัยบวกเดิมๆ ทั้งงบประมาณเบิกจ่ายได้ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกลับมา ส่วนส่งออกก็มีโอกาสขยายตัว แต่วันนี้นักลงทุนอยู่ในโหมดที่ไม่มั่นใจเท่าไร จึงสะท้อนออกมาในภาพตลาดหุ้นตอนนี้” ไพบูลย์กล่าว
ด้านบทวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ ระบุว่า จากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย พิธา-พรรคก้าวไกล ใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบบประชาธิปไตย โดยสั่งห้ามทุกการกระทำ-ห้ามแก้ ม.112 มีมุมมองว่า มอง SET Index มีแนวโน้มอ่อนตัวลงทดสอบ 1,360 จุด และ 1,350 ตามลำดับ จากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจเพิ่มขึ้น
ทั้งหาก SET Index หลุดระดับ 1,350 ทำจุดต่ำใหม่ แนะขายกระชับพอร์ตลดความเสี่ยง เข้าสู่โหมด Wait & See รอประเมินสถานการณ์อีกครั้ง
อย่างไรก็ดี มองเป็นจังหวะสะสมหุ้นปันผล หุ้นที่อยู่ใน SETHD ที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่เหลือสูงกว่าระดับ 4% ขึ้นไป และตลาดประเมิน Upside มากกว่า 20% ขึ้นไป คือ AP, ORI, TASCO, KTB และ LH นอกจากนี้ หุ้นปันผลที่เราแนะนำลงทุนแบบ DCA ในปีนี้คือ MAJOR, MC, PTT, SCB และ SPALI