แมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) รายงานยอดขายในไตรมาส 1/2562 รวม 2.92 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.4% ขณะที่มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core Operating Profit) 273,028 ล้านบาท ลดลง 3.3% กำไรสุทธิ 2.53 แสนล้านบาท ลดลง 9.3% จากช่วงเดียวกันในปี 2561
รายงานดังกล่าวรวบรวมจากหลักทรัพย์จดทะเบียนจำนวน 668 หลักทรัพย์ หรือคิดเป็น 94.4% จากทั้งหมด 708 หลักทรัพย์ที่นำส่งผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2562 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2562 โดยพบว่าหลักทรัพย์ที่รายงานผลกำไรสุทธิมีจำนวน 513 หลักทรัพย์ คิดเป็น 76.8% ของหลักทรัพย์จดทะเบียนที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด แมนพงศ์ให้ความเห็นว่าหลักทรัพย์จดทะเบียนไทยยังคงมียอดขายเติบโตดี แต่มีอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Core Operation Profit Margin) ปรับลดลงมาอยู่ที่ 9.3% เทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ 10.1% จากการที่ธุรกิจหมวดพลังงานและปิโตรเคมีภัณฑ์ได้รับผลกระทบเรื่องค่าการกลั่นและส่วนต่างราคาน้ำมันที่ลดลงตามภาวะตลาดต่างประเทศ ประกอบกับหมวดพาณิชย์และหมวดสินค้าอุปโภคบริโภคมีการแข่งขันสูงขึ้น
ขณะที่อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ปรับลดลงมาอยู่ที่ 8.6% เทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ 9.9% จากผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนและการบันทึกกำไรจากเงินลงทุนที่ไม่สูงเท่าในไตรมาส 1 ของปี 2561 สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ สิ้นไตรมาส 1 ของปี 2562 อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 1.32 เท่า จากช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ 1.21 เท่า หมวดธุรกิจที่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นคือหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเติบโตดีจากสินค้าประเภทเครื่องดื่ม อาหารสด และการขยายตลาดในภูมิภาค
ส่วนหมวดธนาคารยังเติบโตดีตามการขยายสินเชื่อ และหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ซึ่งได้ประโยชน์จากการที่ผู้บริโภคเร่งโอนโครงการก่อนที่มาตรการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจะบังคับใช้ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย