เมื่อพูดถึงอนาคต ‘ตลาดหุ้นไทย’ หลายคนคงได้แต่ถอนหายใจ เพราะเมื่อเทียบฟอร์มย้อนหลังในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มูลค่าตลาดหุ้นไทย ยังเคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 1000 จุด บวกลบ และไม่เคยพุ่งถึงฝั่งฝันที่ 1,800 จุดได้เลย แม้ในปี 2568 ผลตอบแทนของสินทรัพย์ต่างๆ จะพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางความผันผวนรอบด้าน แต่ตลาดหุ้นไทยกลับสวนทาง โดยช่วงครึ่งปีแรก ผลตอบแทน SET Index ต่ำสุดในรอบ 25 ปี
ผนวกกับปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจที่ถดถอยลงทุกด้าน เมื่อปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า ปัจจัยสนับสนุนซบเซา คำถามคือ ตลาดหุ้นไทย ยังมีโอกาสเติบโตไหม ท่ามกลางคลื่นการเปลี่ยนแปลง AI หรือรอวันล่มสลาย เพราะปรับตัวไม่ทัน
THE STANDARD WEALTH สรุปแนวโน้มตลาดหุ้นไทย จากงาน Money Freedom Forum 2025 ในหัวข้อ หุ้นไทยโอกาสทองลงทุน หรือความหวังอันไกลโพ้น โดย กวี ชูกิจเกษม นักลงทุนเน้นคุณค่า(VI) ที่ฝ่าทุกวิกฤตตลาดหุ้นไทย
ย้อนที่มา New S Curve ไทย ส่งผลต่อตลาดหุ้นอย่างไร?
S Curve 1: เกษตรกรรมบูม
ด้วยความที่ไทยเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งป่าไม้ แร่ธาตุ พลังงาน และน้ำ ทำให้ในช่วงแรกไทยเน้นส่งออกสินค้าเกษตร ตัดไม้ แร่ดีบุก เพื่อหารายได้เข้าประเทศ
S Curve 2: อุตสาหกรรมบูม
ในช่วง 28 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2504-2532) GDP โตเฉลี่ย 7.7% ไทยเจอแหล่งก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2516 ทำให้ทุนต่างชาติหลั่งไหลเข้ามา ตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย จนเกิดโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่มากมาย เช่น โรงงานรถยนต์ โรงงานสิ่งทอ ผลิตเสื้อผ้า ต่อมาในปี พ.ศ. 2518 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้เปิดทำการซื้อขายขึ้นอย่างเป็นทางการครั้งแรก ตลาดหุ้นไทยพุ่งจาก 100 จุด สู่ 1789 จุด
S Curve 3: บริการบูม
ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2532-2552) GDP ไทย โตเฉลี่ย 4.6% การเปิดสนามบินสุวรรณภูมิใน พ.ศ. 2549 เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้การท่องเที่ยวบูม จากการหลั่งไหลเข้ามาของนักท่องเที่ยว จนเกิดแรงส่ง ต่อยอดเป็นธุรกิจในภาคบริการ มากมาย โดยมีหุ้นกลุ่มสื่อสาร ค้าปลีก และโรงพยาบาล เป็นแม่เหล็กดึงดูด เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign investment) มูลค่าสูงอันดับต้นๆ ในอาเซียน ผลักดันให้มูลค่าตลาดหุ้นไทย ทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1850 จุด จาก 380 จุด
New S Curve ใหม่: Lost Decade ยังหาไม่เจอ
ระหว่างปี 2554-2566 GDP ไทย โตเฉลี่ย 2.2% จากปัญหาโครงสร้างที่ฉุดรั้ง ศักยภาพการแข่งขันในเวทีโลก กดดันผลการดำเนินงานของตลาดหุ้นไทย ทำในช่วง 13 ปีที่ผ่านมา มูลค่าตลาดหุ้นไทย เคลื่อนไหวเฉลี่ยอยู่ที่ 1000 จุด บวกลบ หรือพูดให้เห็นภาพง่ายๆ คือ อยู่กับที่ ไม่มีการเติบโต เพราะโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ส่วนใหญ่ยังพึ่งพาการผลิตจากอุตสาหกรรมโลกเก่า แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อดูผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนใน SET50 ในช่วงเวลาดังกล่าว มีเพียง 7 บริษัทเท่านั้นที่ขาดทุน สะท้อนว่า ตลาดหุ้นไทยยังประคองตัวไปได้ในอนาคต
New S Curve ไทยจะเกิด ต้องมีนวัตกรรม+คน
โดยปกติแล้ว หากประเทศจะเกิดธุรกิจที่เป็น New S Curve จะต้องอาศัย 2 ปัจจัยหลัก คือ การเติบโตของประชากร และนวัตกรรมใหม่ๆ เพียงแค่มีปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง แล้วประเทศไทย มีโอกาสอะไร ที่จะช่วยจุดประกาย สร้างอุตสาหกรรมใหม่ เมื่อพิจารณาจาก 4 องค์ประกอบหลัก
- จำนวนประชากร
พบว่า ปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต คนไทยจะเกิดใหม่ น้อยลงเรื่อยๆ โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อัตราการเกิดของคนไทย ลดลงอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าภายในปี พ.ศ. 2643 คนไทยจะเหลือประมาณ 40 ล้านคน
- อายุของคนในประเทศ
ปัจจุบัน ประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยแบบสมบูรณ์ โดยในอนาคตคนไทย จะเกิดใหม่น้อยกว่าคนตาย ทำให้เมื่อเทียบกับโลก คนไทยมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 41 ปี และมีอายุมากที่สุดในอาเซียน
- รายได้ต่อหัว
ปัญหาต่อเนื่องที่ซ้ำเดิม ปัญหาจำนวนประชากร คือ คนไทยส่วนใหญ่แก่ก่อนรวย เราจะเห็นภาพชัดมาก เมื่อเทียบรายได้ต่อหัวประชากรในประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งมี GDP per capita มากกว่า 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ไทยอยู่ที่ 7,700 ดอลลาร์สหรัฐ ต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งอยู่ที่ 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนว่าในอนาคตนอกจากแรงงานน้อยลงแล้ว ยังไม่มีกำลังซื้ออีก
- หนี้ครัวเรือน
คนไทยติดกับดักหนี้ครัวเรือน นอกจากแก่ก่อนรวยแล้ว ยังแบกหนี้เยอะ ผลสำรวจล่าสุด โดยมหาวิทยาลัยหอการค้า พบว่า ปี 2568 หนี้ครัวเรือนไทย พุ่งสูงขึ้นสูงสุดในรอบ 4 ปี โดยเฉลี่ยแต่ละครัวเรือน มีหนี้ 740,000 บาท สอดคล้องกับสภาพัฒน์ที่มองว่า สาเหตุที่หนี้ครัวเรือนพุ่ง ส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมของคนไทยที่มีไลฟ์สไตล์ติดแกรม ก่อหนี้เกินตัว
หากพิจารณาองค์ประกอบทั้งหมดที่กล่าวมา หลายคนคงรู้สึกท้อ และคิดว่าประเทศไทย หมดหวังแล้วที่จะมีเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ มาช่วยต่อลมหายใจ เพราะเราไม่มีอะไรเลย ทั้งจำนวนประชากรวัยหนุ่มสาว และนวัตกรรมของตัวเอง แต่ถ้าย้อนดูที่มาของการเกิด S-Curve ในไทย จะพบว่า ไทยนั้นแตกต่างจากประเทศอื่น ตรงที่มีทรัพยากร ซึ่งเป็นที่ต้องการในตลาดโลก ผลักดันให้เกิด New S Curve ไม่ใช่เพราะการสร้างนวัตกรรม หรือการเติบโตของประชากร
ไทย ‘ศูนย์กลาง Data Center’ แม้ไม่มีนวัตกรรม
เมื่อโลกเข้าสู่ยุค AI ซึ่งเร่งให้เกิด productivity และดิสรัปงานในหลายอุตสาหกรรม หลายคนแสดงความกังวลว่า ไทยจะตกรถขบวนคลื่นเทคโนโลยี ครั้งใหญ่นี้หรือไม่ เพราะไม่มีนวัตกรรมของตัวเองไปต่อยอดในซัพพลายเชน อีกทั้งบุคลากร ที่มีความเชี่ยวชาญ ด้าน AI ก็มีน้อย สะท้อนผ่านบริษัทจดทะเบียนใน SET ไม่มีบริษัทใดเลยที่ทำธุรกิจอยู่ในกลุ่มหุ้นเจ็ดนางฟ้า หรือ Magnificent 7 นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม มูลค่าตลาดหุ้นไทยถึงไม่ไปไหนเลย ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
แต่ในความโชคร้ายก็มีความโชคดี เพราะตอนนี้ถ้าเทียบกับประเทศอาเซียน ไทยกำลังกลายเป็นศูนย์กลาง Data Center ด้วยข้อได้เปรียบด้านตำแหน่ง ที่ตั้งภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งพร้อมไปด้วยพื้นที่ ไฟฟ้า และพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) โดยเฉพาะพลังงานน้ำ ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบหลัก ในการรันฐานข้อมูล ที่เปรียบเสมือนอาหารสมองของ AI แม้ไทยจะไม่ได้อยู่ในซัพพลายเชน ปัญญาประดิษฐ์โดยตรง แต่ได้ประโยชน์จากการมีทรัพยากร ซึ่งเป็นสารตั้งต้น ของในการสร้างอาณาจักรข้อมูล
โดยตั้งแต่ปี พ.ศ.2564-2568 บริษัทต่างชาติทยอยเข้ามาลงทุนสร้าง Data Center ในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยขนาดกำลังให้บริการใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จาก 20 MW สู่ 200 MW ทั้งนี้ในอนาคตคาดว่า Data Center จะต้องใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ซึ่งเป็นโอกาสของประเทศไทย ซึ่งมีระบบไฟฟ้าที่เสถียร และพลังงานสะอาดรองรับ
ปัจจุบันไทยมีจำนวน Datar Center ทั้งหมด 39 แห่ง อันดับที่สี่ในอาเซียน โดยสิงคโปร์ ยังเป็นผู้นำในตลาด แต่ในระยะยาวมาเลเซียจะได้รับผลประโยชน์สูงสุด เพราะนอกจา กมีการลงทุนด้าน Datar Center ยังขายน้ำให้กับสิงคโปร์ เพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้า เช่นเดียวกับไทยที่ได้รับอานิสงส์จากข้อจำกัด ด้านพื้นที่ของสิงคโปร์ ทำให้สิงคโปร์ ต้องกระจายการลงทุนมาไทย ส่วนเวียดนามแม้ทั่วโลกจับตาว่าจะขึ้นมาแทนที่ไทยเร็วๆ นี้ แต่ก็ยังต้องแก้ปัญหาการผลิตไฟฟ้าที่ไม่เพียงพอ อีกทั้งระบบยังไม่เสถียร เมื่อเทียบกับไทย แม้จะค่าไฟถูกกว่า
บทสรุป ตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุนอยู่ไหม
หลังจากฉายภาพความสัมพันธ์ระหว่าง New S Curve กับตลาดหุ้นไทย ในฐานะนักลงทุนคนหนึ่ง กวี มองว่า หุ้นไทยยังไม่ถึงคราวไม่ล่มสลาย แต่ยังประคองตัวได้จากบุญเก่าที่สั่งสมมา ทำให้เศรษฐกิจไทยยังได้รับประโยชน์ จากคลื่นการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี AI
เคล็ดลับลงทุน ให้มีอิสรภาพการเงิน
ในฐานะนักลงทุน VI กวี ได้เผยเคล็ดลับการลงทุนเพื่อมีอิสรภาพการเงิน ว่า สินทรัพย์หลักทุกสินทรัพย์ ได้แก่ หุ้นปันผล หุ้น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ เมื่อย้อนดูสถิติผลตอบแทนรวม ย้อนหลัง พบว่า ในระยะยาว ช่วง 100 ปีที่ผ่าน ผลตอบแทนสินทรัพย์ทุกตัวปรับตัวเพิ่มขึ้น ชนะการเติบโตของเงินเฟ้อ ดังนั้น ถ้าเรามีคำถามว่าเริ่มต้นลงทุนตอนไหน เหมาะสมที่สุด คำตอบคือ ตอนนี้ วันนี้ เวลานี้ ยิ่งเริ่มเร็ว เราก็จะมีอิสรภาพทางการเงินเร็ว