×

‘ตั้งแถวใหม่’ ในตลาดหุ้นไทย ท่ามกลาง ‘สงครามสภาพคล่อง’

18.06.2025
  • LOADING...
ภาพแสดงแนวโน้มเงินบาทแข็งค่าในปี 2568 ขณะที่เงินไหลเข้าตราสารหนี้มากกว่าตลาดหุ้น

ช่วงนี้ซีรีส์ สงคราม ส่งด่วน หรือ Mad Unicorn (2025) ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวของนักธุรกิจหนุ่มที่ก่อร่างสร้างตัวจากศูนย์ ต่อสู้ในสงครามล้มยักษ์ จนกลายเป็นสตาร์ทอัพธุรกิจขนส่งด่วนยูนิคอร์นตัวแรกของไทย กำลังเป็นที่ฮือฮาและได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย

 

สามประโยคของตัวละครที่ผมชอบมากจากเจ้าสัวคณินคือ

 

  1. ผมเป็นคนชอบยืนหัวแถว
  2. เวลาผมเห็นโอกาสทางธุรกิจอะไร ผมจะไปตั้งแถวใหม่ทันที
  3. ตรงไหนมีปัญหาตรงนั้นมีเงิน

 

สามประโยคนี้ตรงกับตลาดหุ้นไทยถึงสองในสามข้อ เพราะ

 

  • ใครซื้อตอนนี้เหมือนกับได้ยืนที่หัวแถว เพราะดัชนีปรับตัวลงมากว่า 20%YTD
  • ใครๆ ก็ทราบกันดีถึงสภาวะเศรษฐกิจไทยปัจจุบันซึ่งสะท้อนมายัง SET Index

 

คำถามคือ ตลาดหุ้นไทยตอนนี้เป็นโอกาสที่จะไปตั้งแถวใหม่รึยัง?

ประเด็นเรื่องเศรษฐกิจไทยและการเมืองไทย ผมคิดว่าเราคงไม่ต้องคุยกันถึงสองประเด็นดังกล่าวกันแล้ว เพราะ ทุกคนต่างทราบกันดีว่าตอนนี้เศรษฐกิจไทยในความรู้สึกของใครหลายๆคนอาจจะแย่กว่าช่วงโควิดเสียด้วยซ้ำ

 

มากไปกว่านั้นประเด็นการเมืองไทย ตอนนี้หนักหน่วง ทั้งศึกใน (ประเด็นการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) และ ประเด็นการยกเลิกแจกเงินหมื่นไปกระตุ้นเศรษฐกิจ) และ ศึกนอก (ประเด็นทรัมป์ และ ประเด็นไทย-กัมพูชา)

 

ในบทความนี้ ผมอยากชวนคุยถึงประเด็นที่สาม หรือ ประเด็นสภาพคล่อง ในตลาดหุ้นไทยมากกว่า ว่า ภาพปัจจุบันมีที่มาที่ไปอย่างไรบ้าง

 

หนึ่ง สภาพคล่อง ‘หด’ หากมองย้อนดูตามสถิติ มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในตลาดหุ้นไทย SET Index เคยมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน ณ ระดับ 5-6 หมื่นล้านบาท (ณ ปี 2020)

 

ในขณะที่ปัจจุบันหรือเดือนล่าสุด มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน ตกลงมาเกือบครึ่งหนึ่ง! ใช่ครับ เหลือเพียง 3-4 หมื่นล้านบาทต่อวันเท่านั้นเอง

 

สอง สภาพคล่อง ‘เปลี่ยน’ เมื่อมองในรายละเอียดของมูลค่าการซื้อขายต่อวันที่ลดลงหรือหายไป ผมพบว่ามูลค่าการซื้อขายต่อวันที่เกิดจากคนนั้นได้แปรเปลี่ยนกลายไปเป็นสิ่งที่เรียกว่า Program Trading หรือที่หลายคนเรียกว่า High Frequency Trade ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นกว่า 45% ของมูลค่าการซื้อขายต่อวันเรียบร้อยแล้ว

 

หรือพูดง่ายๆ ในหนึ่งวันของมูลค่าการซื้อขายของ SET Index ครึ่งหนึ่งคือมนุษย์ และอีกกว่าครึ่งหนึ่งคือ Program Trading

 

และสาม สภาพคล่อง ‘หนี’ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนและผู้อ่านคงจะคุ้นกันตลอดๆ ว่า ‘ฝรั่งขายหุ้นไทย’ หรือนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทย

 

และด้วย ณ ปัจจุบัน ที่กระแส Sell America รุนแรงมาก ทำให้ภาพของดอลลาร์อ่อนค่า (บาทแข็ง)

 

เงินบาทที่แข็งจึงเท่ากับเม็ดเงินที่ไหลเข้า ซึ่งก็ควรจะเข้ามาในหุ้นไทยด้วย อย่างไรก็ดี ฟ้าอาจจะยังไม่เปิด เพราะเงินที่ไหลเข้ามาก็ยังเลือกที่จะเข้ามาในพันธบัตรไทย (ตราสารหนี้) ไม่ใช่หุ้นไทย (ตราสารทุน)

 

ดังนั้นผมคิดว่าจะ ‘ตั้งแถวใหม่’ ในตลาดหุ้นไทยตอนนี้ต้องคิดให้ดี ต้องคิดให้รอบ จะอิงแค่ ‘เศรษฐกิจ’ หรือ ‘การเมือง’ เห็นทีคงไม่ได้เสียแล้ว เพราะ ‘สภาพคล่อง’ เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลมากต่อตลาดหุ้นไทยในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา

 

ณ ปัจจุบัน สิ่งที่เรารู้แน่นอนและควบคุมได้ในรอบนี้มีอยู่สามอย่างในความเห็นของผม

 

  1. ซื้อหุ้นไทยตอนนี้ได้ยืน ‘หัวแถว’ แน่ๆ เพราะตอนนี้นักลงทุนไม่ Cut Loss ก็ติดดอยอยู่
  2. ของ ‘ถูก’ หรือ Valuation ที่ ‘ถูก’ มีที่มาที่ไป และไม่ได้แปลว่าต้องขึ้นหรือปลอดภัย
  3. ตลาดหุ้นคือ ‘กระจกหน้า’ ที่มองไปข้างหน้าหรือ ‘อนาคต’

 

ดังนั้นไม่ว่าจะ ‘เศรษฐกิจ’ ‘การเมือง’ หรือ ‘สภาพคล่อง’ หากฟื้นตัวแม้จะเพียงเล็กน้อย ตลาดหุ้นที่เปรียบเสมือนกระจกหน้าจะวิ่งก่อนแน่นอน และวิ่งก่อนที่ตัวเลขจะรายงานออกมาด้วยซ้ำ

 

คนยืน ‘หัวแถว’ อาจหนาวๆ ตอนนี้ แต่ถ้ากำไร ‘หัวแถว’ ก็กินก่อนครับ 

 

ทบทวนกันให้ดี เพราะไม่ว่าจะยูนิคอร์นหรือคนประสบความสำเร็จทั้งในแง่ของการลงทุนหรือการทำธุรกิจต้อง ‘กล้าเสี่ยง’ ‘รอบคอบ’ เพราะเล่ห์เหลี่ยมเต็มไปหมดทั้งในเชิงธุรกิจและการลงทุน และคนที่ประสบความสำเร็จน้อยกว่าคนไม่สำเร็จเสมอ

 

เงินบาทที่แข็งจึงเท่ากับเม็ดเงินที่ไหลเข้า ซึ่งก็ควรจะเข้ามาในหุ้นไทยด้วย อย่างไรก็ดี ฟ้าอาจจะยังไม่เปิด เพราะเงินที่ไหลเข้ามาก็ยังเลือกที่จะเข้ามาในพันธบัตรไทย (ตราสารหนี้) ไม่ใช่หุ้นไทย (ตราสารทุน)

 

Program Trading หรือที่หลายคนเรียกว่า High Frequency Trade ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นกว่า 45% ของมูลค่าการซื้อขายต่อวัน

 

หมายเหตุ:

  • การแสดงความเห็นให้คำแนะนำดังกล่าว ข้าพเจ้าขอเรียนว่าเป็นการกระทำในนามส่วนตัวของข้าพเจ้าเท่านั้น บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น

ภาพ: Dilok Klaisataporn / Shutterstock

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising