ต่อคำถามที่ว่า ‘หุ้นไทย’ ยังน่าสนใจในสายตานักลงทุนต่างชาติอยู่หรือไม่ มูลค่าการซื้อ/ขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (YTD) น่าจะเป็นตัวเลขที่ตอบคำถามเหล่านี้ได้ดี
โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติ ‘ขายสุทธิ’ ในตลาดหุ้นไทย ราวกว่า 9 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม ถ้าสำรวจตลาดหุ้นเพื่อนบ้านก็จะพบว่าส่วนใหญ่เผชิญแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติเช่นเดียกวัน เช่น ตลาดหุ้นมาเลเซีย ต่างชาติขายสุทธิ 1,206 ล้านดอลลาร์ ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ถูกขายสุทธิ 1,738 ล้านบาท และตลาดหุ้นเวียดนาม มีแรงขายสุทธิ 1,344 ล้านบาท
ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ และประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า 3 สาเหตุผลหลักที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังขายหุ้นไทยต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 3 นี้ คือ 1. สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด โดยเฉพาะตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่การจัดหาและกระจายวัคซีนไม่เป็นไปตามเป้าหมายของรัฐบาล อีกทั้งแผนการจัดหาและกระจายวัคซีนก็มีความไม่แน่ชัด
- สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งน่าจะฟื้นตัวได้ยาก เนื่องจากโครงสร้างรายได้ของประเทศมาจากกลุ่มท่องเที่ยวที่พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างประเทศในสัดส่วนที่สูง เมื่อเทียบกับสถานการณ์โควิดปัจจุบัน จึงคาดว่าการเปิดประเทศแบบเต็มรูปแบบภายในปีนี้ตามเป้าหมายรัฐบาลคงเป็นเรื่องยาก ขณะที่ภาคธุรกิจอื่นๆ ที่พึ่งกำลังซื้อในประเทศก็ฟื้นตัวได้ยากเช่นกัน
- ค่าเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง ทำให้ความน่าสนใจตลาดทุนไทยลดลง และทำให้เงินต่างชาติไหลออกอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ไม่เฉพาะเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติเท่านั้น เงินลงทุนจากนักลงทุนไทยเองก็ไหลออกไปซื้อกองทุนต่างประเทศจำนวนมากเช่นกัน เนื่องจากนักลงทุนต้องแสวงหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
ไพบูลย์กล่าวเพิ่มว่า ตลาดหุ้นไทยจะกลับมาน่าสนใจอีกครั้งหากสามารถคลี่คลายวิกฤตการณ์โรคระบาดครั้งนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ มีวัคซีนเพียงพอที่จะฉีดให้กับประชาชนได้ราว 5 แสนคนต่อวัน และสามารถเปิดประเทศได้อย่างเต็มรูปแบบในปลายปีนี้ ก็จะทำให้ได้เห็นนักลงทุนต่างชาติกลับมาเป็น Inflow อีกครั้งในไตรมาส 4/64
“ใน 1-2 เดือนจากนี้ เราจะยังเห็นเงินต่างชาติไหลออกอย่างต่อเนื่อง เพราะไทยยังไม่สามารถจัดการกับโควิดและฟื้นเศรษฐกิจได้จริง สภาพคลอ่งในระบบไม่ใช่ปัญหา มีสภาพคล่องเต็มไปหมด แต่เงินเหล่านี้จะวิ่งไปสู่สินทรัพย์อื่นหรือตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าเสมอ เท่าที่ดูตอนนี้คือกลับไปลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป รวมถึงเข้าลงทุนในตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน ส่วนกลุ่มตลาดเกิดใหม่ก็เผชิญแรงขายเช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทย”
ประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการอาวุโส บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ มองว่า ตอนนี้สถานการณ์เงินลงทุนต่างชาติยังไม่ใช่ขาออก (Outflow) เนื่องจากยังมีเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้อยู่ อย่างไรก็ตาม หากมองเฉพาะตลาดหุ้น ก็ต้องยอมว่าเป็นขาออกมาสักระยะหนึ่งแล้ว
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติไม่ได้ถอนการลงทุนจากตลาดหุ้นไทยแห่งเดียวเท่านั้น แต่เป็นการขายหุ้นทั้งหุ้นภูมิภาค โดยตั้งแต่ต้นปีจนปัจจุบันพบว่า นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิตลาดหุ้นกลุ่ม Emerging Market ไปแล้วราว 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์
ซึ่งมองว่าสาเหตุที่นักลงทุนต่างชาติถอนการลงทุนออกไปเพื่อกลับไปเข้าลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือยุโรป หลังจากทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคเหล่านี้ปรับตัวดีขึ้น
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ และหัวหน้าสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า Fund Flow ในช่วงนี้รวมถึงช่วงที่ผ่านมาเป็นกระแสไหลออกจากตลาดหุ้นไทย และกลับไปลงทุนในตลาดที่มีแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ดีกว่า
“ต้องยอมรับว่าหากเทียบแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยกับประเทศอื่นแล้ว ความน่าสนใจของประเทศไทยและตลาดหุ้นไทยมีไม่มาก”
นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องเงินบาทอ่อนค่า ซึ่งมีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าไปสู่ระดับ 33 บาทเร็วๆ นี้ จึงยิ่งทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจลดลงไปอีก
ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่จะหยุดกระแสเงินไหลออกได้คือ การควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดให้ได้ โดยต้องทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่น้อยกว่าตัวเลขผู้ที่รักษาหาย จึงจะเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าประเทศไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ รวมถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แท้จริง ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นในปีนี้
ภาพประกอบ: พรวลี จ้วงพุฒซา