วิกฤตการเมืองซ้ำเติมวิกฤตความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทย ล่าสุด ดัชนี SET ร่วงลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 ติดต่อกัน มาอยู่ที่ 1,068.73 จุด และหากวันพรุ่งนี้ (20 มิถุนายน) ดัชนี SET ยังคงปิดต่ำกว่า 1,099.76 จุด จะเป็นการปิดตลาดรายสัปดาห์ที่ต่ำที่สุดในรอบเกือบ 14 ปี นับแต่ปลายปี 2554
อย่างไรก็ตาม ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ปี 2563 ดัชนีเคยร่วงลงไปต่ำสุดที่ 969.08 จุด แต่สามารถฟื้นตัวกลับมาที่บริเวณ 1,100 จุด ได้
หุ้นไทยเสี่ยงหลุด 1,000 จุด FETCO แนะเร่งทำ 3 เรื่องด่วน
ไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า สถานการณ์การเมืองไทยปัจจุบันสร้างความไม่แน่นอน และส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเฉพาะประเด็นเสถียรภาพของรัฐบาลชุดปัจจุบัน
โดยมี 3 เรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลควรดำเนินการ เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยให้รับมือสถานการณ์เปราะบางนี้ไปได้
- เร่งผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.1 แสนล้านบาท
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 1.1 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลได้นำเสนอ
เป็นเรื่องเร่งด่วนอันดับแรกที่ควรได้รับการผลักดันให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานและการจัดการน้ำ ซึ่งจะช่วยสร้างงานและกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศได้ทันที ตามที่รัฐบาลแถลงว่าสามารถกระตุ้น GDP ได้ถึง 0.4%-0.5% หากดำเนินการได้ตามแผนภายในครึ่งปีหลังนี้ จะเป็นแรงหนุนสำคัญต่อตลาดหุ้นและเศรษฐกิจไทยโดยรวม แม้การเมืองจะยังไม่มีความชัดเจน
- เดินหน้าเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ภายใต้กำหนดเวลาที่จำกัด
การเจรจาการค้ากับรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีกำหนดเส้นตายในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเร่งดำเนินการ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจทำให้สหรัฐฯ ลังเลที่จะเจรจากับรัฐบาลรักษาการหากมีการยุบสภา การมีความพร้อมในการเจรจาจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ไพบูลย์เน้นย้ำว่า การเจรจาที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพจะช่วยลดความเสี่ยงด้านการส่งออก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไทย
- อนุมัติงบประมาณประจำปี 2569 ให้ทันกรอบเวลา
ไพบูลย์กังวลว่า หากการจัดทำและอนุมัติงบประมาณประจำปี 2569 ล่าช้าออกไปเหมือนในอดีต อาจซ้ำเติมสถานการณ์เศรษฐกิจที่อ่อนแออยู่แล้วให้ย่ำแย่ลงไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจไทยเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน หากปราศจากเม็ดเงินงบประมาณเพื่อขับเคลื่อนนโยบายและโครงการต่างๆ จะทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น ดังนั้น การผ่านงบประมาณโดยเร็วที่สุดจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจสะดุด
ทางออกสำหรับการเมืองไทยปัจจุบันเป็นไปได้ 3 ทางคือ 1.แพทองธาร ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป 2.เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี และ 3.ยุบสภา
ส่วนตัวเห็นว่าการยุบสภาในสถานการณ์ปัจจุบันควรเป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะหากทั้ง 3 เรื่องเร่งด่วนข้างต้นยังไม่ได้รับการดำเนินการ อาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ
“ถ้าวันนี้ยุบสภาเลย โดยที่ 3 เรื่องนี้ยังไม่เกิดขึ้น มีความเสี่ยง ถ้าถามว่าจะกระทบต่อตลาดหุ้นไทยจนหลุดต่ำกว่า 1,000 จุดหรือไม่นั้น ถ้า 3 เรื่องนี้ยังทำไม่สำเร็จอะไรก็เกิดขึ้นได้หมด และในระยะต่อไปให้ GDP ของไทยมีความเสี่ยงจะโตต่ำกว่า 1%” ไพบูลย์กล่าว
ไพบูลย์กล่าวต่อว่า หากดำเนิน 3 เรื่องเร่งด่วนข้างต้นได้แล้ว จะยุบหรือไม่ยุบสภาก็จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจเบาลง เนื่องจากตลาดหุ้นไม่ชอบความไม่แน่นอน และนักลงทุนกำลังกังวลว่าสถานการณ์จะเลวร้ายลงไปกว่าเดิม หากไม่มีความชัดเจนในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเร่งด่วน
ด้าน เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า หุ้นจะยังอยู่บนความไม่แน่นอนต่อไป ทั้งจากการสู้รบระหว่างประเทศ สงครามการค้า และการเมืองภายในซึ่งเป็นประเด็นที่ค่อนข้างรุนแรง ทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลสั่นคลอน
“สิ่งที่เห็นคือความกล้าในการซื้อขายหุ้นน้อยลง ทุกคนรู้ว่าหุ้นไทยถูก แต่ยังไม่กล้าซื้อ และคงจะรอดูสถานการณ์ต่อไป” เทิดศักดิ์กล่าว
เทิดศักดิ์กล่าวต่อว่า เดิมทีประเมินไว้ว่าหุ้นไทยคงจะไม่ลงไปต่ำกว่า 1,056 จุด ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดช่วงต้นเดือนเมษายน หากมีปัจจัยเสี่ยงหลักเฉพาะสงครามการค้า แต่เมื่อมีประเด็นการเมืองภายในเข้ามา ทำให้มีโอกาสที่จะเห็นดัชนี SET ลงไปต่ำกว่า 1,056 จุด
“และเป็นไปได้ที่ดัชนีจะลงไปต่ำกว่า 1,000 จุด ขึ้นอยู่กับว่าผลกระทบจากการเมืองจะเป็นอย่างไร” ส่วนที่น่ากังวลที่สุดคือ “เรื่องงบประมาณ หากการเมืองทำให้กระบวนการจัดทำงบประมาณปี 2569 ล่าช้าออกไป จะทำให้ดาวน์ไซด์ต่อหุ้นไทยเพิ่มขึ้น” เทิดศักดิ์กล่าว
ต่างชาติขายต่อเนื่องเฉียด 8 หมื่นล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติยังคงเดินหน้าขายหุ้นไทยต่อเนื่อง และล่าสุดวันนี้ยังคงขายสุทธิเพิ่มอีก 693 ล้านบาท รวมแล้วตั้งแต่ต้นปีขายสุทธิ 7.8 หมื่นล้านบาท
สรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล. กสิกรไทย เปิดเผยว่า นักลงทุนต่างประเทศให้ความสำคัญเรื่องการเมืองสูงมากอยู่แล้ว สถานการณ์ตอนนี้ยังมีความไม่แน่นอนสูงมาก นับตั้งแต่พรรคภูมิใจไทยถอนตัวออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้คะแนนเสียงในการโหวตในสภา ‘ปริ่มน้ำ’ มาก
“การเปิดประชุมสภาวาระ 2 หรือวาระ 3 โดยเฉพาะการโหวต พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 จะผ่านหรือไม่ จะเป็นเรื่องหลักของตลาดหุ้นไทยในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า” สรพลกล่าว
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยเริ่มสะท้อนความเสี่ยงเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อวานตอนบ่าย ซึ่งแนวรับแรกของหุ้นไทยอยู่ที่ 1,050 จุด อิงกับมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (P/BV) ที่ 1 เท่า ส่วนกรณีที่สถานการณ์การเมืองเปลี่ยนไป อาจจะเห็นหุ้นไทยลงไปใกล้กับจุดต่ำสุดช่วงโควิด-19 (ประมาณ 970 จุด)
สรพลมองว่า ตอนนี้ไม่น่าจะเป็นจังหวะขายตัดขาดทุนแล้ว หุ้นหลายตัวลงมาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี แต่นักลงทุนยังขาดความมั่นใจในปัจจัยต่างๆ เช่น การอนุมัติ พ.ร.บ.งบประมาณ และเสถียรภาพของรัฐบาล
สิ่งที่ต้องติดตามคือ “การประชุมของพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ว่าจะมีจุดยืนอย่างไร ถ้าพรรคร่วมอื่นๆ แสดงจุดยืนเหมือนกับพรรคภูมิใจไทย จะเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงให้กับตลาดหุ้นไทย” สรพลกล่าว
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุว่า หากมีการยุบสภาก่อนที่ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 จะผ่านสภาในเดือนกันยายน 2568 จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยอาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงประมาณ 0.5% เหลือประมาณ 1% ทั้งในปี 2568 และ 2569 จากงบประมาณที่ล่าช้า ในทางตรงกันข้าม หากยุบสภาหลังจากงบประมาณผ่านแล้ว คือตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป ผลกระทบจะลดลงเหลือประมาณ 0.3% เนื่องจากความเชื่อมั่นที่ลดลงและการขาดรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพเต็มรูปแบบ
โดยสรุป วิกฤตคลิปเสียงทำให้เสถียรภาพรัฐบาลไทยมีความไม่แน่นอนมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะต่อไป ดังนั้น จึงต้องจับตาพัฒนาการทางการเมืองใกล้ชิดต่อจากนี้ไป