แม้กำลังซื้อจะหด แต่ไลฟ์สไตล์ผู้คนยังกินขนมฉ่ำ ‘เจ้าสัว’ แบรนด์ขนมขบเคี้ยวสัญชาติไทย ทำรายได้โต พร้อมบุกหนักต่างประเทศ ทุ่ม 300 ล้านสร้างโรงงาน เพิ่มการผลิตบุกจีน-อเมริกา มั่นใจอีก 2 ปีทำรายได้ทะลุ 2,200 ล้านบาท
ณภัทร โมรินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ้าสัว ฟู้ดส์ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ CHAO กล่าวว่า ตลาดขนมขบเคี้ยวไทยระหว่างปี 2567-2570 คาด ว่าจะเติบโต 6.5% สิ่งที่เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดคือเทรนด์ขนมขบเคี้ยวที่มีอินโนเวชันเชิงสุขภาพเริ่มมาแรง
ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจและกำลังซื้อยังชะลอตัว แต่ถ้าเทียบกับปีที่ผ่านมาถือว่าดีขึ้น แม้จะมีสถานการณ์ของสงครามการค้า แต่ประเมินว่ากลุ่มสินค้าอาหารนั้นไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
อีกหนึ่งสัญญาณบวกคือภาคธุรกิจท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัวแล้ว 100% ลูกค้าทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวก็ยังนิยมซื้อขนมกินในชีวิตประจำวัน ทำให้ผลประกอบการของ เจ้าสัวในปี 2567 ที่ผ่านมามีรายได้โต 12% ส่วนกำไรยังรักษาไว้อยู่ในตัวเลขสองหลัก
และอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องติดตามคือ แผนการตั้งรับหากมีการขึ้นภาษีความเค็มก็ต้องบริหารจัดการต้นทุนให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะไม่อยากขึ้นราคาสินค้าเพื่อผลักภาระให้ผู้บริโภค
ปัจจุบันเจ้าสัวยังครองส่วนแบ่งทางการตลาดอันดับหนึ่งในตลาดข้าวตังและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อสัตว์ ทั้งนี้ บริษัทวางเป้าหมายรายได้เติบโตทะลุ 2,200 ล้านบาทภายในปี 2570 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 12-15% ต่อปี
ณภัทรกล่าวต่อไปว่า ตลาดขนมขบเคี้ยวกลุ่ม Better-for-You Snack ยังมีช่องว่างและโอกาสเติบโตอยู่มาก จากนี้บริษัทจะให้น้ำหนักในการพัฒนาผลิตภัณฑ์รสชาติใหม่ตามเทรนด์ที่กำลังเป็นกระแส โดยที่ผ่านมาได้ลอนช์สินค้ารสหมูกระทะและล่าเถียวก็ได้รับการตอบรับอย่างดี
ในทุกๆ ปีจะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ไม่ต่ำกว่า 15-20 SKUs และปีนี้จะขยายไปสู่ตลาดขนมเพื่อสุขภาพ ซึ่งอยู่ระหว่างกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้าสู่หมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง
สิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปคือการใช้งบทำการตลาดสื่อสารแบรนด์ผ่านแอมบาสเดอร์ และ KOL กระตุ้นตลาดทุกช่องทาง ทั้ง Modern Trade และ Traditional Trade รวมถึงช่องทางออนไลน์ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
ก้าวต่อไปบริษัทต้องการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศมากขึ้น จากปัจจุบันได้ส่งออกสินค้าไปมากกว่า 10 ประเทศ มีสัดส่วนยอดขายต่างประเทศอยู่ที่ 25% ในปี 2568 ตั้งเป้าหมายขยายสู่กลุ่มประเทศใหม่เพิ่ม 5-10 ประเทศ เน้นในภูมิภาคเอเชียและยุโรป เพราะเราเห็นว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพเติบโต
สะท้อนจากข้อมูลการบริโภคขนมขบเคี้ยวในจีนและอเมริกาที่เติบโตกว่าไทยหลายเท่าตัว เพียงแต่จีนจะเน้นมองหาสินค้าที่คุ้มค่า พรีเมียม และสะดวกในการจัดส่ง ส่วนอเมริกาจะนิยมสินค้าเชิงสุขภาพมากกว่า
ดังนั้นหน้าที่ของแบรนด์คือการสร้างตัวตนและภาพลักษณ์ เพิ่มความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าสินค้ามีคุณภาพ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความได้เปรียบและต่างจากแบรนด์ท้องถิ่น
อีกหนึ่งความยากของการทำตลาดต่างประเทศ เป็นการหาพาร์ตเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการกระจายสินค้าและต้องมีสินค้าเพียงพอต่อการส่งออก ทำให้ปีนี้บริษัททุ่มงบ 300 ล้านบาท สร้างโรงงานเพิ่มในจังหวัดนครราชสีมา จากเดิมที่มีโรงงานเดิมอยู่แล้ว แต่มีกำลังผลิตแค่ 70% โดยโรงงานใหม่จะเน้นผลิตสินค้าเพื่อส่งออก คาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มผลิตได้ในปี 2026