ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย (SET) เช้านี้ (13 พฤษภาคม) ปรับตัวลงไปแรงในช่วงแรกของการเปิดตลาด โดยลดลงไปต่ำสุดที่ 1,549.06 จุด หรือลดลง 22.79 จุด ก่อนที่ดัชนีจะฟื้นตัวกลับมาอยู่บริเวณ 1,557 จุด ติดลบประมาณ 15 จุด จากวันก่อนหน้า
มงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นไทยวันนี้ (13 พฤษภาคม) เปิดตลาดปรับตัวลดลงค่อนข้างมากเนื่องจาก 3 ปัจจัยหลัก เรื่องแรกคือ ความกังวลต่อเงินเฟ้อที่จะปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นความกังวลทั่วโลก โดยตลาดหุ้นทั่วโลกได้ปรับตัวลดลง สะท้อนความกังวลดังกล่าวมาราว 2-3 วันแล้ว จึงเชื่อว่าความกังวลนี้น่าจะเริ่มคลายได้ในที่สุด สังเกตได้จาก Dow Jones Futures ที่เริ่มฟื้นตัวขึ้น
เรื่องที่สองคือสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย ที่ยังคงมีผู้ติดเชื้อมากกว่า 2,000 รายต่อวัน แม้วันนี้จะไม่นับตัวเลขผู้ติดเชื้อจากกรมราชทัณฑ์ ก็ยังเป็นตัวเลขที่สูง สร้างความกังวลต่อเนื่องไปสู่กระบวนการรักษาว่าอาจจะไม่เพียงพอ
นอกจากนี้ยังกังวลว่าความยืดเยื้อของโควิด-19 จะกระทบภาพรวมเศรษฐกิจอีกด้วย และการออกมาตรการช่วยเหลือจากทางภาครัฐ ก็อาจจะทำให้ภาคการเงินของไทย เช่น กลุ่มแบงก์ นอนแบงก์ เริ่มประสบปัญหาเช่นกัน
เรื่องที่สามคือผลประกอบการ บจ. ในไตรมาส 1 ที่ประกาศออกมาพบว่า ส่วนใหญ่กำไรปรับตัวดีขึ้น แต่ด้วยราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว เมื่อประกาศผลการดำเนินงานจริงออกมา จึงเกิดการ Sell on Fact
ทั้งนี้เชื่อว่าในช่วงบ่ายตลาดมีโอกาสรีบาวด์ขึ้น หลังจากตลาดหุ้นฝั่งตะวันตกเปิดการซื้อขาย โดยกลุ่มที่น่าสนใจเข้าลงทุนในจังหวะที่หุ้นไทยปรับลดลงลึกคือกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันและโรงกลั่น รวมถึงกลุ่มที่ราคาปรับตัวลดลงไปมาก ยกเว้นกลุ่มสถาบันการเงินที่ยังประเมินว่าต้องเผชิญความเสี่ยงอีกหลายระลอก
ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองว่า ภาพของตลาดหุ้นทั้งเดือนพฤษภาคมยังคงต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะเรื่องของ Valuation ที่ค่อนข้างสูง ประกอบกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่ค่อนข้างมาก
สำหรับปัจจัยกดดันตลาดในวันนี้เป็นเรื่องของเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยเพิ่มขึ้น 4.2% จากปีก่อน สูงกว่าคาดการณ์ที่เพิ่มขึ้น 3.6% ทำให้ตลาดหุ้นปรับฐานทั่วโลก
นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงจากการที่ MSCI ประกาศลดน้ำหนักหุ้นไทยจาก 1.83% มาเหลือ 1.73% ทำให้คาดว่าจะเห็นแรงขายของต่างชาติราว 1 หมื่นล้านบาท ในช่วงวันที่ 25-27 พฤษภาคมนี้
“การที่ดัชนีลดลงมา 3 วันติดต่อกันอยู่ที่บริเวณ 1,550 จุด อาจเกิดเทคนิคอล รีบาวด์ แต่เชื่อว่าจะเป็นการฟื้นแค่ช่วงสั้น โดยนักลงทุนระยะสั้นอาจจะใช้บริเวณ 1,570-1,580 จุด เป็นจุดขายออกไปก่อน เพราะยังมีปัจจัยกดดันเรื่องของ MSCI รออยู่ ส่วนนักลงทุนระยะกลางถึงยาว แนะนำรอจังหวะของการปรับฐานในช่วงปลายเดือน ซึ่งจุดนั้นอาจเป็นจุดที่เหมาะสมกับการเข้าซื้อไม้ใหญ่”
ทั้งนี้หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจสำหรับการเข้าซื้อเพื่อเล่นระยะสั้นรับการฟื้นตัวคือกลุ่มไฟแนนซ์ ซึ่งไม่ได้ถูกลดน้ำหนักลงจาก MSCI และปรับฐานลงมาก่อนหน้านี้ ส่วนกลุ่มธนาคาร พลังงาน และสื่อสาร ยังเป็นกลุ่มที่ถูกกดดันจากการปรับลดน้ำหนัก ทำให้การฟื้นตัวอาจทำได้แย่กว่า
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า