มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวในเวลา 14.00 น. วันนี้ (29 กรกฎาคม) โดยชี้แจงถึงท่าทีของรัฐบาลไทยในการประท้วงการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงโดยฝ่ายกัมพูชา หลังจากที่มีผลใช้บังคับเมื่อเวลา 00.00 น. ที่ผ่านมา โดยเผยว่า ได้ติดต่อและส่งหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งหลักฐานการถูกโจมตีจากฝ่ายกัมพูชา ภายหลังจากที่บังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิงไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนที่เป็นผู้จัดและพยานการเจรจาระหว่างไทยและกัมพูชาให้ได้รับทราบแล้ว
พร้อมกันนี้ ยังได้ส่งหนังสือประท้วงไปยัง มาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา และ หวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ในฐานะประเทศที่เข้าร่วมรับฟังการเจรจา ให้ได้รับทราบถึงการละเมิดข้อตกลงการหยุดยิงของกัมพูชาด้วย อีกทั้งยังได้ส่งสำเนาการประท้วงไปถึงเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรประเทศไทย ประจำสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก และกรุงเจนีวา เพื่อชี้แจงให้มิตรประเทศได้เข้าใจด้วย
ขณะที่มาริษ ยังระบุว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา สำนักนายกรัฐมนตรีของไทย ได้ติดต่อกับสำนักนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย เพื่อพูดคุยกับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยปราโบโว ซูเบียนโต ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ที่อยู่กับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ก็ได้รับทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย
มาริษ ยืนยันว่า เหตุการณ์การปะทะกันล่าสุดได้ยุติลงแล้ว แต่ฝ่ายไทยไม่ได้ประมาท และติดตามข้อมูลจากฝ่ายทหารอยู่เสมอ ซึ่งหากมีการละเมิด ไทยก็สามารถยืนยันสิทธิในการตอบโต้ป้องกันตัวให้ได้สัดส่วนกับการถูกละเมิดได้ พร้อมทั้งย้ำว่า รัฐบาลจะไม่ยอมเสียอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนอย่างแน่นอน และจะเดินหน้าการแก้ไขปัญหาอย่างสันติและจริงใจต่อไป
ทั้งนี้ คำถามว่า การยอมรับข้อตกลงเจรจาหยุดยิงจะทำให้เสมือนประเทศไทยยอมกัมพูชาหรือไม่นั้น มาริษ มั่นใจว่า บนเวทีโลกนั้น ประเทศไทยได้รับการยอมรับมาก
โดยหลังเดินทางกลับมาจากการเจรจาที่มาเลเซียนั้น ตนได้รับการติดต่อจากเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา เนื่องจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ต้องการพูดคุยกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี เพื่อชื่นชมการดำเนินการของไทย ที่ควรเป็นแบบอย่างที่นานาประเทศต้องตระหนักในบทบาทการแก้ปัญหาอย่างสันติวิธี และจริงใจ
ขณะที่เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐฝรั่งเศส ก็ได้ส่งข้อความมา เพื่อชื่นชมรัฐบาลไทยต่อการตัดสินใจดำเนินการดังกล่าวด้วยเช่นกัน
เชื่อมั่นนานาชาติไม่สนกัมพูชาบิดเบือน
มาริษ ยังตอบคำถามกรณีการบิดเบือนข้อมูลของฝ่ายกัมพูชา โดยแสดงความเชื่อมั่นว่าจะไม่มีผลต่อสายตานานาชาติที่มองมาประเทศไทย เพราะการที่ไทย อดทน อดกลั้น และชี้แจงข้อเท็จจริงต่อประชาคมโลกได้ยืนยันได้ชัดเจนแล้วว่า ไทยไม่ได้ใช้โอกาสบิดเบือนและข้อมูล และชี้แจงข้อเท็จจริงด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ จึงไม่มีความกังวลใด ๆ และมั่นใจว่า การบิดเบือนของกัมพูชา จะไม่มีทางเอาชนะประเทศไทยได้
ส่วนกรณีการละเมิดอนุสัญญา พันธะกรณี และกฎหมายระหว่างประเทศของกัมพูชา ทั้งในเรื่องของการใช้วัตถุระเบิด การใช้ทุ่นระเบิด แล้วก็การโจมตีพื้นที่พลเรือน มาริษ เปิดเผยว่า จนถึงขณะนี้รัฐบาลไทยได้มีการยื่นประท้วงการกระทำของกัมพูชาในหลายๆ กรอบ ไม่ว่าจะเป็นอนุสัญญาออตตาวา อนุสัญญาเวียนนา กฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
พร้อมทั้งยืนยันต่อนานาชาติว่า ประเทศไทยได้พยายามแก้ไขปัญหาด้วยความอดทนอดกลั้น ไม่ทำให้สถานการณ์บานปลาย โดยคำนึงถึงอธิปไตย และความปลอดภัยของประชาชน และให้ความสำคัญต่อพันธกรณีระหว่างประเทศและกฎบัตรอาเซียน แต่ก็ถูกกัมพูชาละเมิดอธิปไตยมาโดยตลอด
ทั้งนี้ มาริษ ยังย้ำว่าในระหว่างการเยือนสำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พบว่านานาชาติ รวมถึงเลขาธิการ UN และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ต่างก็ชื่นชมและตระหนักในบทบาทของไทยที่ต้องการแก้ปัญหาโดยสันติวิธี และสนับสนุนแนวทางการแก้ไขปัญหาของประเทศไทยผ่านกลไกการหารือทวิภาคีโดยสันติวิธีและจริงใจ ซึ่งส่งผลให้ภาพพจน์ของไทยในสายตานานาชาตินั้นดีมาก และได้รับการยอมรับในความเป็นประเทศที่รักสงบ แต่ไม่ยินยอมให้มีการละเมิดอำนาจอธิปไตย
อย่างไรก็ตามในวันนี้ (29 กรกฎาคม) มาริษ ยังมีกำหนดหารือทวิภาคี ร่วมกับรัฐมนตรีต่างประเทศเวียดนาม ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทย โดยเขายืนยันว่า จะใช้โอกาสนี้ ชี้แจงสถานการณ์ และข้อเท็จจริงให้ฝ่ายเวียดนาม ได้รับทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย