วันนี้ (12 กันยายน) ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 2 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ วาระคณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงนโยบายต่อรัฐสภา แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นชี้แจงต่อสมาชิกรัฐสภาว่า ขอบคุณทุกข้อเสนอแนะจากสมาชิกรัฐสภาทุกคน โดยรับฟังจากทุกคนอย่างชัดเจน และขอยืนยันว่าหลายนโยบายที่หลายสมาชิกได้หยิบยกขึ้นมานั้น บางนโยบายได้ทำเสร็จสิ้นไปแล้ว บางนโยบายกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นการพักหนี้ของเกษตรกร ซึ่งสามารถเช็กข้อมูลจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพื้นที่
นายกฯ ยังชี้แจงถึงการแก้ปัญหายาเสพติดว่ามีรัฐมนตรีหลายท่านได้ตอบไปบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็น สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการยุติธรรม โดยยืนยันว่าจะสานต่อนโยบายแก้ปัญหายาเสพติดต่อจาก เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ ซึ่งได้เริ่มการป้องกันในพื้นที่ชายแดนไม่ให้มีการลักลอบขนยาเสพติดเข้ามาในประเทศ โดยตนได้พูดคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีการจับกุมผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่จำนวนหลายราย
นายกฯ กล่าวอีกว่า ปัญหายาเสพติดนั้นตนได้รับการรายงานจาก สส. ในพื้นที่เสมอว่า ประชาชนในพื้นที่หนักใจ รัฐบาลจึงต้องเร่งที่จะทำนโยบายนี้อย่างเข้มข้น และเริ่มวางแผนแล้วว่าจะดำเนินการอย่างไร ลงไปหาชาวบ้าน ชาวบ้านก็พูดว่าดิจิทัลวอลเล็ตไม่เอาแล้ว เอาแค่การแก้ไขปัญหายาเสพติด นี่เป็นสิ่งที่ชาวบ้านได้สะท้อนผ่าน สส. มายังตน แต่ก็ขอยืนยันว่าจะดูแลในทุกภาคส่วน
นายกฯ ยังกล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยว่า รัฐบาลได้เริ่มดำเนินการแล้ว ที่มีกระบวนการรัฐสภาที่ทุกคนมีส่วนร่วม ที่จะต้องทำไปพร้อมๆ กัน ตนในฐานะนายกฯ ขอน้อมรับคำแนะนำที่ให้เรียนรู้ประวัติศาสตร์และบาดแผล โดยยืนยันว่าตนยึดมั่นในหลักนิติธรรม และจะพยายามอย่างถึงที่สุด
“หลายครั้งดิฉันเข้าใจฝ่ายค้านอย่างลึกซึ้ง เรื่องของการจัดตั้งรัฐบาล เมื่อหลายปีที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยก็เคยได้เสียงมาเป็นอันดับ 1 แต่ก็ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เช่นกัน ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้านมาด้วยกันยาวนานถึง 4 ปี พวกเรายังจำได้ และเข้าใจในจุดนี้ แต่วันนี้การที่พรรคเพื่อไทยถูกเลือกจากประชาชนจำนวน 10.9 ล้านคน นั่นคือเสียงของประชาชนเช่นกัน หรือเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ก็เป็นเสียงจากประชาชนมาเช่นกัน ไม่มีเสียงไหนที่ไม่มีศักดิ์ศรีหรือด้อยศักดิ์ศรีไปกว่ากันและกันเลย”
นายกฯ กล่าวว่า ตนจึงอยากขอให้เพื่อนสมาชิกทุกคนในที่แห่งนี้ได้ร่วมกันอภิปรายอย่างสร้างสรรค์ ไม่สร้างวาทกรรม ไม่สร้างความเกลียดชัง และไม่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในหัวข้อต่างๆ เราเป็นคนรุ่นใหม่ เป็นคนอยู่ในสังคมปัจจุบัน ต้องเป็นตัวอย่างให้กับประชาชนได้
“เวลานี้ไม่ใช่เวลาของการหาเสียง เราจึงไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างวาทกรรม เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงปัญหาของประเทศมากกว่าภาพลักษณ์ของเราเอง เมื่อดิฉันได้แถลงนโยบายเสร็จสิ้น ก็ได้มีโอกาสพูดคุยถึงสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย กระทรวงกลาโหม, กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงคมนาคม ทุกหน่วยงานที่มีความเกี่ยวข้องได้ทำงานล่วงหน้าไปหมดแล้ว จากที่ประชาชนสามารถรับอาหารได้เพียงแค่มื้อเดียว แต่วันนี้มีอาหารรับประทานครบทั้งสามมื้อ โดยที่ประชาชนไม่ต้องทนหิวข้าวอีกแล้ว นี่คือสิ่งที่รัฐบาลต้องรีบลงมือทำ”
นายกฯ กล่าวว่า เราควรจะร่วมมือกันเพื่อผ่านวิกฤตต่างๆ ของประเทศชาติไปด้วยกัน โดยไม่ใช่การสร้างความเกลียดชัง ไม่อยากให้ฝ่ายค้านมีแต่เรื่องคับแค้นจนกลายเป็นฝ่ายแค้นแทน เราไม่ต้องแค้นกัน แต่เราต้องเข้าใจกัน เพื่อให้เราสามารถอยู่ในสภาแห่งนี้ด้วยหลักของความเข้าใจและความถูกต้อง