ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเตรียมต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ปี 2567 ที่มีระยะเวลาเฉลิมฉลองยาวนานถึง 21 วัน NIQ บริษัทวิจัยผู้บริโภคชั้นนำของโลกได้เผยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของคนไทย และแนวโน้มของตลาดในช่วงเทศกาลปีใหม่ไทยนี้ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ
จากการศึกษาของ NIQ พบว่า ภาพรวมของทัศนคติการใช้จ่ายของคนไทยในปีนี้จะมีความระมัดระวังมากขึ้น โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่ถึง 84% ตั้งใจที่จะใช้จ่ายเท่าเดิมหรือลดลงในการเฉลิมฉลองและกิจกรรมทางสังคมต่างๆ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนทางการเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีเพียงกลุ่มผู้บริโภคเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่วางแผนจะเพิ่มค่าใช้จ่ายสำหรับเทศกาลนี้
อย่างไรก็ตาม แม้แนวโน้มโดยรวมจะเน้นการประหยัด แต่ผลสำรวจกลับชี้ให้เห็นความต้องการของผู้บริโภคบางกลุ่มที่พร้อมจะจับจ่ายใช้สอยเพื่อซื้อของขวัญหรือสินค้าคุณภาพเกรดพรีเมียม โดย 69% ระบุว่า จะใช้เงินซื้อวัตถุดิบระดับพรีเมียมเพื่อนำมาประกอบอาหารเลี้ยงฉลองที่บ้าน, 59% วางแผนใช้จ่ายมากขึ้นในการรับประทานอาหารนอกบ้าน และ 39% ตั้งใจที่จะใช้เงินมากขึ้นกับการรับประทานอาหารที่ร้านหรูหรา
นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังเผยอีกว่า กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (CPG) โดยเฉพาะอาหารสดเกรดพรีเมียม จะได้รับอานิสงส์ด้านยอดขาย เนื่องจาก 74% ของผู้บริโภคพร้อมที่จะเลือกซื้อเนื้อสัตว์หรืออาหารทะเลคุณภาพดีเพื่อนำมาปรุงเป็นอาหารในช่วงเทศกาล ขณะที่ในทางกลับกันก็ยังมีผู้บริโภคอีก 32% ที่ใช้มาตรการประหยัดโดยหันไปซื้อสินค้าที่มีโปรโมชันหรือทำของขวัญด้วยตัวเอง
ข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคไทยให้ความสำคัญกับคุณภาพและประสบการณ์ที่ได้รับมากกว่าปริมาณหรือความหรูหราของสิ่งของที่ครอบครอง โดย 71% เชื่อว่าค่านิยมและลำดับความสำคัญในชีวิตได้เปลี่ยนไปภายหลังการแพร่ระบาดของโควิด ซึ่งในจำนวนนี้ 39% ตระหนักว่าประสบการณ์มีคุณค่ามากกว่าวัตถุ นำไปสู่ความต้องการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่เพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังมีความเชื่อมั่นในสินค้าแบรนด์ทั่วไป (Private Label) ของร้านค้ามากขึ้น โดย 35% เห็นว่ามีคุณภาพเทียบเท่าหรือสูงกว่าสินค้าแบรนด์เนม และ 21% ยินดีจ่ายเงินมากกว่าเพื่อซื้อสินค้าเหล่านี้ เป็นโอกาสให้นักการตลาดนำเสนอทางเลือกที่คุ้มค่าและมีคุณภาพให้กับลูกค้ากลุ่มนี้
ผลสำรวจของ NIQ ชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของพลวัตการตลาดที่กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่รูปแบบการบริโภคที่ฉลาดมากขึ้น โดยผู้บริโภคจะเน้นเรื่องคุณภาพและประสบการณ์ ธุรกิจจึงต้องวางกลยุทธ์โดยแสดงความจริงใจ ทำความเข้าใจความต้องการ และนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มอบคุณค่าให้กับลูกค้าให้ได้
ด้วยแนวโน้มเหล่านี้ นักการตลาดจึงควรมุ่งเน้นการนำเสนอสินค้าหรือบริการที่เอื้อต่อการมอบประสบการณ์ที่น่าจดจำ ไม่ว่าจะเป็นการจำหน่ายวัตถุดิบสำหรับทำอาหารรับประทานเองที่บ้าน หรือแม้กระทั่งโปรโมชันร้านอาหารที่มอบบริการและบรรยากาศสุดพิเศษ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม ทั้งกลุ่มที่คำนึงถึงงบประมาณ และกลุ่มที่แสวงหาประสบการณ์หรูหรา
ในภาพรวม เทศกาลสงกรานต์นี้จึงนำเสนอภูมิทัศน์ของตลาดแบบไดนามิก ที่มีทั้งความท้าทายและโอกาส หากธุรกิจสามารถปรับกลยุทธ์การตลาดให้สอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคได้ ด้วยแนวคิดแบบ ‘Less-is-more’ มุ่งเน้นมอบคุณค่าและความน่าเชื่อถือ ก็จะสามารถฝ่าฟันช่วงเทศกาลนี้ไปได้ และส่งผลดีต่อทั้งผู้บริโภคและธุรกิจในระยะยาว
