วันนี้ (8 เมษายน) ที่อาคารรัฐสภา ว่าที่ ร.ต.ต. อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยผู้บริหารสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร แถลงข่าวกรณีการเลื่อนระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเรื่อง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. …. หรือร่างกฎหมาย Entertainment Complex ขึ้นมาเป็นลำดับแรก ต่อด้วย ร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรม คดีการเมือง ทั้ง 4 ฉบับ มาพิจารณาในวันพรุ่งนี้ (9 เมษายน)
เลขาธิการสภาระบุว่า เรื่องดังกล่าวทำให้สังคมเข้าใจประธานสภาผู้แทนราษฎร ว่าใช้อำนาจเลื่อนหรือเปลี่ยนระเบียบดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาก่อน แต่ความเป็นจริงคือเป็นอำนาจของ สส. ในที่ประชุม ที่มีการเสนอญัตติให้เลื่อนระเบียบและวาระขึ้นมา เป็นผลให้การพิจารณาในวันที่ 9 เมษายน มีการพิจารณากฎหมาย 5 ฉบับเป็นวาระแรก จึงเป็นการยืนยันว่าประธานสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้ใช้อำนาจของประธานแต่เป็นไปตามมติในที่ประชุมของสภาผู้แทนราษฎร
ด้าน คัมภีร์ ดิษฐากรณ์ โฆษกประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงประเด็นที่มีความเกี่ยวข้องกับศาสนา ว่า จากที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรถูกกล่าวหา ว่าเป็นมุสลิมแต่ไม่ปฏิบัติตามหลักการของศาสนาอิสลามสนับสนุนให้มีการเลื่อนร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงขึ้นมาพิจารณาก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจผิด จึงขอชี้แจงว่า การเปลี่ยนระเบียบวาระการประชุมนั้นเป็นหน้าที่ของสมาชิกที่เสนอเข้ามาในที่ประชุมมีมติเป็นอย่างไร ก็ดำเนินการตามมตินั้น
ส่วนประเด็นใดที่เกี่ยวกับศาสนาประธานก็จะใช้วิธีการงดออกเสียง เช่นเดียวกันในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจรฯ ก็ใช้วิธีการงดออกเสียง คือการไม่เห็นด้วย หากเห็นด้วยพี่น้องมุสลิมทั้งประเทศคงจะกล่าวหาว่าไม่ปฏิบัติตามหลักการของศาสนาอิสลาม เพราะในเรื่องของอบายมุขมอมเมาประชาชน รวมถึงพรรคประชาชาติที่เป็นพรรคที่มีมุสลิมเป็นหลัก ก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน ดังนั้น การไม่เห็นด้วยของประทานสภาผู้แทนราษฎรคือการงดออกเสียง เพราะหากบอกว่าไม่เห็นด้วย จะถือว่าเป็นการไม่เห็นด้วยแค่บางส่วน จึงต้องใช้วิธีการงดออกเสียง ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักการของศาสนาอิสลาม