มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าพบหารือต่อ นาดา อัล-นาชิฟ (Nada Al-Nashif) รองข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เพื่อแสดงข้อมูลหลักฐานและชี้แจงข้อเท็จจริง ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ได้เคยยื่นหนังสือได้มีหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติจัดส่งข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของกัมพูชาในอาณาเขตของประเทศไทยไปแล้ว เป็นไปตามพันธะกรณีภายในอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลหรืออนุสัญญาออตตาวา
ขณะที่การเข้าพบรองข้าหลวงใหญ่ฯ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในวันนี้ เป็นการดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของไทยในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างสันติ ผ่านช่องทางทางการทูตตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศและกฎบัตรของสหประชาชาติ โดยได้ยื่นหลักฐานทั้งเอกสารและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ทราบว่ามีการปฏิบัติการที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศไทยไม่สามารถยอมรับได้ ทั้งการโจมตีแบบไม่เลือกเป้า การโจมตีในเขตพื้นที่พลเรือน การใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และการใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ ซึ่งขัดต่อข้อตกลงระหว่างประเทศหลายฉบับ
โอกาสนี้ รองข้าหลวงใหญ่ฯ ได้กล่าวแสดงความขอบคุณ ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยเดินทางมาด้วยตัวเอง ทำให้สามารถพูดคุยสอบถามได้โดยตรง และเป็นการแสดงความจริงใจและจริงจังในการแก้ไขปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนตลอดแนวพรมแดนระหว่างไทยกับประเทศกัมพูชา นอกจากนั้นยังมีหนังสือตอบกลับเพื่อเน้นย้ำความสำคัญเกี่ยวกับการใช้การสื่อสารในทางโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) เพื่อสร้างความขัดแย้งในหมู่ประชาชน ทำให้เกิดความแตกแยกปลุกปั่นให้เกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ มาริษยังมีกำหนดการเข้าพบเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำการประชุมด้านการลดอาวุธ ในฐานะประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-Personnel Mine Ban Convention: APMBC) ครั้งที่ 22 รวมถึงการพบหารือกับหัวหน้าการลดอาวุธแห่งสหประชาชาติ
ขณะเดียวกัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะมีการพบหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (APMBC) อีกด้วย เพื่อนำเสนอข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ทั้งหมด ต่อรัฐภาคีสำคัญในคณะกรรมการภายใต้อนุสัญญาออตตาวาที่กำกับดูแลการปฏิบัติตามอนุสัญญานี้ โดยจะได้พบกลุ่มประเทศผู้บริจาคภารกิจการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและช่วยเหลือเหยื่อที่ได้รับผลกระทบ และภาคประชาสังคมระหว่างประเทศที่ทำงานด้านทุ่นระเบิด มีเป้าหมายเพื่อโน้มน้าวให้กัมพูชากลับเข้ามาปฏิบัติตามอนุสัญญาออตตาวา ร่วมเก็บกู้ทุ่นระเบิดกับไทย
โดยไทยจะเข้าร่วมโครงการรณรงค์ของเลขาธิการสหประชาชาติว่าด้วยการลดอาวุธเพื่อมนุษยธรรมและปฏิบัติการทุ่นระเบิด เป็นการตอกย้ำเจตนารมณ์และความจริงใจของไทยต่อการแก้ปัญหาทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทั่วโลก
ขณะที่ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ ที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่ทหารไทย เหยียบทุ่นระเบิดของกัมพูชา ที่เนิน 350 (ช้างศึก) ใกล้ปราสาทตาควายว่า ขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเป็นที่น่าเสียใจเป็นอย่างมากที่ในระหว่างที่ ดร.ลาลีวรรณ กาญจนจารี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ และคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย เดินทางออกจากอำเภอพนมดงรัก ก็ได้รับรายงานข่าวว่า มีทหารไทยนายหนึ่ง เหยียบทุ่นระเบิดอีกครั้ง โดยขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชายก ระดับความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เพื่อไม่ให้สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก