“ไทยไม่สมัครใจเป็นทางผ่านอาชญากรรม แต่เมื่อเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องลุกขึ้นสู้ในเวทีโลก”
จากภาพจำที่โลกมองว่าไทยคือทางผ่านของขบวนการโกงระดับโลก โดยเฉพาะ ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ วันนี้ประเทศไทยกำลังเขียนบทใหม่บนเวทีอินเตอร์โพล
THE STANDARD ชวนอ่านบทสัมภาษณ์พิเศษ พล.ต.อ. ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ผู้พาตำรวจไทยก้าวไปเป็น ‘ผู้นำแนวหน้า’ ในการล่าขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ
พร้อมเผยยุทธศาสตร์ที่จะพิสูจน์ว่า 3 เดือนข้างหน้า..ไทยเอาอยู่จริงหรือไม่?
ทางผ่านที่ไม่สมัครใจ ตำแหน่งของไทยบนแผนที่อาชญากรรม
เมื่อถามว่าในสายตาสังคมโลก ประเทศไทยคือทางผ่านของอาชญากรรม โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช่หรือไม่ พล.ต.อ. ธัชชัย ยอมรับว่า “ใช่ แต่ไม่ใช่ว่าไทยสมัครใจเป็น” พร้อมชี้ให้เห็นว่าที่ผ่านมาผู้ที่เดินทางผ่านประเทศไทยไปยังประเทศเพื่อนบ้านล้วนไปโดยสมัครใจ ไม่มีใครถูกบังคับ สิ่งนี้ตอกย้ำถึงความซับซ้อนของปัญหาที่ไม่ได้เกิดจากการสมรู้ร่วมคิดของประเทศไทย
วันนี้ที่ตำรวจไทยมีบทบาทสำคัญบนเวทีใหญ่อย่าง World Economic Forum และการประชุมอินเตอร์โพล (INTERPOL) ถือเป็นก้าวสำคัญ พล.ต.อ. ธัชชัยกล่าวด้วยความมุ่งมั่นว่า “เราเอาปัญหาของประเทศเป็นตัวตั้งก่อน เพราะถ้าไม่ทำแบบนี้ จะแก้ปัญหาไม่ได้ เหมือนวนอยู่ในอ่าง”
พร้อมระบุว่า ปัญหาคอลเซ็นเตอร์เป็นเรื่องใหม่ที่แม้แต่ประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกาหรืออังกฤษก็ยังหาแนวทางเชิงรุกไม่ได้ ทำได้แค่เพียงการป้องกัน
การที่ไทยกล้านำปัญหาในประเทศไปพูดบนเวทีโลกไม่ได้หมายความว่าเรายอมรับว่าแก้ปัญหาเองไม่ได้ แต่เป็นการตระหนักรู้ว่า “ถ้าจะแก้ปัญหาอาชญากรรมเหล่านี้ ที่มีแหล่งมีฐานอยู่ต่างประเทศ เราจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้ประชาคมโลกช่วย ต้องใช้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาช่วย เพราะมันนอกเหนือจากอำนาจตำรวจไทย”
สิ่งที่ประเทศไทยทำได้ดีด้วยตัวเองและเป็นที่ยอมรับทั่วโลกคือมาตรการเชิงรุก เช่น การตัดน้ำ ตัดไฟ อินเทอร์เน็ต ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของแก๊งอาชญากรรม รวมถึง การบังคับใช้กฎหมาย การระดมกวาดล้าง การลงทะเบียนซิม และการปราบปรามบัญชีม้า ซึ่งล้วนเป็นผลลัพธ์จากมาตรการเชิงรุกเหล่านี้
แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ‘Hot Issue’ ของโลกที่ไทยรับบทบาท ‘หัวหน้าห้อง’
พล.ต.อ. ธัชชัย เน้นย้ำว่าประเด็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ถือเป็น ‘Hot Issue’ ของโลก ที่ทุกประเทศกำลังเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกาหรือจีน การกระทำความผิดรูปแบบนี้ คือ การพลิกโฉมองค์กรอาชญากรรมรูปแบบใหม่ทั้งหมด ที่อาศัยช่องว่างของกฎหมายระหว่างประเทศ
การที่ตำรวจไทยหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูดในเวทีอินเตอร์โพลได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และตอนนี้ประเทศไทยถือเป็น ‘หัวหน้าห้อง’ ในการนำการแก้ไขปัญหา
เปิดข้อมูลแหล่งกบดานรอบไทย และบทบาทของกัมพูชา
ในเวทีอินเตอร์โพล ข้อมูลที่หลายประเทศมีตรงกันคือแหล่งกบดานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่สำคัญอยู่ที่ กัมพูชา แม้จะมีฐานที่ตั้งอื่นๆ ทั่วโลก เช่น ฟิลิปปินส์ อินเดีย แต่ที่กัมพูชามีขนาดใหญ่และเป็นล่ำเป็นสันมากที่สุด
เมื่อถามถึงท่าทีของตำรวจกัมพูชา พล.ต.อ. ธัชชัยกล่าวว่า “ไม่มีความเห็นอะไร ประเทศไทยเองก็ไม่ได้ไปดูถูกเขา แต่สิ่งที่เราทำ เขาเป็นสมาชิกเหมือนเรา เราจะส่งข้อมูลให้กัมพูชาช่วยในเรื่องการปราบปรามและสนับสนุนการทำงานของสมาชิกอินเตอร์โพล”
พร้อมมองว่า หากกัมพูชาไม่ดำเนินการ อาจนำไปสู่การลงโทษภายในจากรัฐบาลประเทศสมาชิกได้ ดังเช่นกรณีที่สหรัฐอเมริกาเคยลงโทษบริษัทหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง
ยุทธศาสตร์ ‘หัวหน้าห้อง’ แลกเปลี่ยนข้อมูล ทลายรังโจร และควบคุมการเข้าเมือง
ในฐานะหัวหน้าปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเครือข่ายสมาชิกอินเตอร์โพล พล.ต.อ. ธัชชัยเผยถึงแผนการสำคัญ 3 ประการ :
- การแลกเปลี่ยนข้อมูล: การเข้าใจรูปแบบการหลอกลวงที่กำลังระบาดทั่วโลก เช่น การหลอกแบบ ‘ฟีลแฟน’ แล้วพาไปลงทุน หรือการหลอกให้กลัว เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรู้ว่าอาชญากรรมเกิดขึ้นที่ไหนและมาจากไหน
- การทลายรังแก๊ง: ตำรวจไทยจะรวบรวมพยานหลักฐานและส่งให้ประเทศต้นทางดำเนินการออกหมายจับหรือป้องกันเชิงรุก
- การควบคุมการเข้าเมือง: เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน จะมีการเสนอมาตรการให้ผู้ที่ต้องการเดินทางไปยังพื้นที่ชายแดนที่นำไปสู่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ต้องกรอกรายละเอียดในใบตรวจคนเข้าเมือง หากไม่แจ้งและถูกตรวจพบ จะถูกเพิกถอนวีซ่าทันที โดยยืนยันว่าเรื่องนี้อยู่ในอำนาจของตำรวจ ไม่จำเป็นต้องแก้กฎหมาย
พล.ต.อ. ธัชชัยเผยข้อมูลว่ามีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ประมาณ 50 กว่าเครือข่าย รวมเป็นหลักร้อยตึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกัมพูชา และขณะนี้กำลังพบการขยายตัวไปยังชายแดนประเทศเวียดนาม โดยเฉพาะในจังหวัดสวายเรียงของกัมพูชา ซึ่งมีตึกหลายตึกที่หลอกลวงคนจากหลายประเทศ
ปราบให้เห็นผลใน 3 เดือน สิงหาคม ถึง ตุลาคม
พล.ต.อ. ธัชชัย ย้ำว่ากัมพูชาไม่ได้ปฏิเสธการปราบปราม แต่การตอบสนองยังน้อยเกินไป ตำรวจไทยจะสนับสนุนเพื่อให้กัมพูชาสามารถทำงานและบังคับใช้กฎหมายได้เต็มที่
ย้ำความจริงจังในการดำเนินคดีกับคนไทยที่เข้าไปมีส่วนร่วมในแก๊งอาชญากรรมเหล่านี้ “ถ้าวันใดที่เจอ เราดำเนินคดีหมดแน่นอน” พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลสนับสนุนการทำงานเต็มที่ เพราะนี่คือ อาชญากรรมที่รุนแรง เหมือนสมัยยุคค้าทาส
พล.ต.อ. ธัชชัยยอมรับว่าตำรวจไทยกำลังทำงานแข่งกับเวลา เพราะไม่ต้องการเห็นคนไทยถูกหลอกหรือฆ่าตัวตายอีกต่อไป โดยตั้งเป้าหมายชัดเจนว่า สามเดือน สิงหาคม กันยายน ตุลาคม ต้องเห็นอะไรเปลี่ยนแปลง การถูกหลอกโดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต้องลดลงมากกว่านี้ ให้ลดลงครึ่งหนึ่ง ระเบิดรังโจรให้พังเป็นแถบ และคนสนับสนุนต้องถูกดำเนินคดีอาชญากรรมข้ามชาติด้วยโทษสูงสุด
ความท้าทายและสิ่งที่ต้องการจากทุกภาคส่วน
สิ่งที่ตำรวจไทยยังขาดคือเรื่องเชิงเทคนิคไอที ต้องยอมรับว่าโจรมีเทคนิคใหม่ๆเกิดเร็วมาก โจทย์คือทำอย่างไรให้ตำรวจทุกโรงพักเข้าใจมิติเหล่านี้ และที่สำคัญคือต้องการให้หน่วยงานต่างๆ ทั้ง ระบบโทรคมนาคม และธนาคาร เข้าใจถึงความสำคัญของปัญหาและร่วมทุ่มเททรัพยากรแก้ไข
“มั่นใจว่าตำรวจไทยมีความพร้อมและกำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่องในการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อต่อสู้คดีในชั้นศาล” พล.ต.อ. ธัชชัย กล่าว
นอกจากนี้ในการประชุมอินเตอร์โพล ตำรวจไทยได้รับโจทย์สำคัญคือการวางยุทธศาสตร์ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการได้รับการสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญรวมถึงเครื่องมือที่จำเป็น สิ่งสำคัญที่สุดคือการ “สร้างเครือข่ายอินเตอร์โพลทั้งหมด ให้ทุกประเทศที่เป็นสมาชิกทำงานพร้อมๆ กัน ถึงจะเอาอยู่ เพราะว่าอาชญากรมันเคลื่อนเร็ว”
สุดท้ายนี้ พล.ต.อ. ธัชชัยฝากข้อความถึงประชาชนว่า ตำรวจไทยไม่เคยคิดจะย่อท้อ ไม่ว่าจะสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เราก็ยังทำงานต่อเนื่อง และก็มั่นใจว่าเราเอาอยู่ จะเอาคนผิดมาลงโทษ จะไม่ให้คนไทยถูกหลอกแบบนี้อีกต่อไป และที่สำคัญการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนคือการ ไปช่วยประเทศอื่นด้วย ปัญหาถึงจะจบ