วันนี้ (18 กุมภาพันธ์) ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย (สงขลา ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง) ที่จังหวัดสงขลาว่า ขณะนี้ อว. โดยอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ภาคใต้ และศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) รวมทั้งภาคเอกชนได้สนับสนุนให้ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีชีวภาพเซรั่มน้ำยางพารา (CERB) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พัฒนานวัตกรรมการใช้ เซรั่มน้ำยางพารา เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ภาคอุตสาหกรรมและการแพทย์ ซึ่งเป็นการนำเซรั่มน้ำยางพารามาผ่านกระบวนการได้เป็นสารต้านอัลไซเมอร์ มะเร็ง ป้องกันโรคกระดูกพรุน ป้องกันโรคเบาหวาน โดยผลิตภัณฑ์นี้สามารถเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์จากเดิมได้ไม่น้อยกว่า 100 เท่า สามารถเพิ่มมูลค่าราคายางพาราแก่ผู้ประกอบการได้มากขึ้น คาดว่าจะสามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจแก่ภูมิภาคไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาทในปี 2570 ทั้งยังส่งผลให้เกิดนวัตกรรมและสิทธิบัตรนานาชาติเกี่ยวกับเทคโนโลยีการสกัดสารที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพมูลค่าสูงหลายรายการ
ศุภมาสกล่าวต่อว่า ทั้งนี้ แต่เดิมที่อุตสาหกรรมยางพารามุ่งเน้นการส่งออกในรูปวัตถุดิบต้นน้ำ ต่อมา CERB ได้ศึกษาคุณสมบัติของเซรั่มน้ำยางพารา ซึ่งเป็นองค์ประกอบของน้ำยางประกอบด้วยเซรั่มน้ำยางพาราคิดเป็น 65% โดยเป็นผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมผลิตยาง เพื่อพัฒนาไปสู่ผลิตภัณฑ์สุขภาพและการแพทย์ เป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) โดยแบ่งออกเป็น 2 แพลตฟอร์มเทคโนโลยี ได้แก่ 1. แพลตฟอร์มการสกัดแยกส่วน (Separation-based Technology) โดยการแยกสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพจากเซรั่มน้ำยางพารา และ 2. แพลตฟอร์มการย่อยด้วยเอนไซม์ (Digestion-based Technology) โดยการใช้เอนไซม์เฉพาะเพื่อสกัดสารชีวภาพที่มีมูลค่าสูง เพื่อนำสารสำคัญมาประยุกต์ใช้ประโยชน์ เช่น สารสกัด Hb-extract เพื่อใช้ในเวชสำอาง มีสารพฤกษเคมีช่วยบำรุงผิว, Hevea latex oligosaccharides (HLOs) มีคุณสมบัติเป็นพรีไบโอติกส์ คล้าย Human Milk Oligosaccharides (HMO) และช่วยต้านอัลไซเมอร์และมะเร็ง, Beta-glucan oligosaccharide (BGOs) มีฤทธิ์กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยลดริ้วรอย และต้านมะเร็ง, Quebrachitol มีศักยภาพช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน และป้องกันโรคเบาหวาน และ 5’-Methylthioadenosine (MTA) มีฤทธิ์ต้านมาลาเรีย วัณโรค และมะเร็ง เป็นต้น
“ปัจจุบัน CERB ได้พัฒนาโรงงานต้นแบบผลิตสารชีววัตถุจาก เซรั่มน้ำยางพารา ซึ่งเป็นความร่วมมือกับ บริษัท อินโนซุส จำกัด ซึ่งมีการลงทุนแล้วกว่า 100 ล้านบาท เพื่อรองรับการผลิตในระดับอุตสาหกรรมในอนาคต โดยโครงการดังกล่าวคาดการณ์ว่าจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมมูลค่ารวมกว่า 1 พันล้านบาทต่อปี แน่นอนว่าการพัฒนาเทคโนโลยีนี้นอกจากจะช่วยแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำแล้ว ยังเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมยางพาราไทยให้ก้าวสู่ตลาดผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และสุขภาพระดับสากล ที่สำคัญยังเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมขยายโอกาสทางเศรษฐกิจและการแพทย์ของประเทศ นอกจากนี้โครงการนี้ยังเปิดโอกาสให้ภาคเกษตรกรมีช่องทางรายได้เพิ่มขึ้น ผ่านการจำหน่ายเซรั่มน้ำยางพาราไปยังโรงงานแปรรูป ตลอดจนกระตุ้นการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น อาหารเสริม ยาชีวภาพ และเวชสำอาง ที่มีศักยภาพแข่งขันในตลาดโลก” ศุภมาสกล่าว พร้อมเสริมว่า สำหรับแผนในอนาคต CERB ตั้งเป้าผลักดันการขึ้นทะเบียนสารชีวภาพจากเซรั่มน้ำยางพาราเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และส่งเสริมการจัดตั้งโรงงานผลิตระดับอุตสาหกรรมตามมาตรฐาน GMP โดยคาดว่าภายในไม่กี่ปีข้างหน้าประเทศไทยจะสามารถสร้างอุตสาหกรรมใหม่และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจากทรัพยากรยางพาราได้อย่างยั่งยืน