เหตุการณ์ประท้วงครั้งใหญ่ของเนปาล ที่ลุกลามกลายเป็นการก่อจลาจลรุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ มีการเผาทำลายอาคารและทรัพย์สินของรัฐในกรุงกาฎมาณฑุ ทั้งทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา รวมถึงบ้านเรือนของผู้นำทางการเมือง ตลอดจนสถานประกอบธุรกิจเอกชน ห้างสรรพสินค้า หรือโรงแรมขนาดใหญ่ กลายเป็นภาพที่สร้างความตกตะลึงแก่ผู้คนทั่วโลก
อัญชลี วัณณะสุต หรือ ‘พี่มดแดง’ นักธุรกิจหญิงไทย ผู้เป็นเจ้าของโรงแรม ร้านอาหารและร้านนวดไทย 3 สาขาในกาฎมาณฑุ เป็นหนึ่งในผู้ที่เผชิญกับเหตุการณ์ประท้วงที่รุนแรงและน่าหวาดกลัวนี้โดยตรง จากการที่บริเวณโรงแรมของเธอเป็นจุดที่มีการประท้วง และเหตุการณ์ลุกลามบานปลายอย่างรวดเร็ว มีการปะทะอย่างรุนแรงระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกับตำรวจ และผู้ชุมนุมหลายคนใช้พื้นที่หน้าโรงแรมของเธอเพื่อหลบกระสุนปืน
ขณะที่เธอยอมรับว่า ‘ทำอะไรไม่ได้เลย’ และได้แค่ยืนมองเหตุการณ์ หรืออย่างมากแค่ตั้งถังน้ำให้ผู้ชุมนุมล้างแก๊สน้ำตา ซึ่งท้ายที่สุดกลุ่มผู้ชุมนุมได้บุกเข้าไปขว้างระเบิดเพลิง เผาสถานีตำรวจที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรม
“เราอยู่ในสถานการณ์จริง ทำอะไรไม่ได้เลย เราอยู่ในโรงแรมและปิดประตูล็อกโรงแรม เพราะโรงแรมเราอยู่หน้าจุดที่มีการประท้วง
เวลาผู้ประท้วงสู้กับตำรวจ วิ่งหนีกระสุนปืน ก็จะหลบมาตรงพื้นที่หน้าโรงแรมเรา เราก็ช่วยอะไรเค้าไม่ได้ ก็พยายามจะไม่ออกไปจากโรงแรม และอยู่บนดาดฟ้าชั้น 4 เพื่อที่จะมองสถานการณ์ แขกที่มีอยู่สิบกว่าห้องก็มีการมุงดูอยู่ชั้นล่างแต่เราไม่ให้ออกไปข้างนอก ให้อยู่เฉพาะในโรงแรม
สิ่งที่เราพอจะช่วยได้ ก็คือเอาน้ำ 4-5 ถัง ไปตั้งไว้หน้าโรงแรม เพื่อให้ผู้ประท้วงที่ถูกแก๊สน้ำตาใช้ล้าง”
และนี่คือเรื่องราวบางส่วนที่หญิงไทยรายนี้เผชิญ กับคำตอบที่หลายคนอาจสงสัยว่าเหตุประท้วงและการก่อจลาจลอย่างรุนแรงนั้น เป็นเพียงฝีมือของวัยรุ่น Gen Z จริงหรือไม่ และเหตุการณ์นี้ทำให้เนปาลกลายเป็นประเทศที่อันตรายและน่ากลัวไปแล้วหรือเปล่า?
ลำดับสถานการณ์
พี่มดแดงเล่าจุดเริ่มต้นของสถานการณ์ประท้วงในกาฎมาณฑุ โดยมีสัญญาณเตือนตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันที่ 7 กันยายน หลังพนักงานของเธอแจ้งว่าจะมีเหตุการณ์ประท้วงเกิดขึ้น และอย่าออกไปนอกโรงแรม ทำให้ต้องรีบโทรศัพท์แจ้งลูกค้าที่เข้าพักในโรงแรมทุกคนว่าอย่าออกไปนอกโรงแรม และใครที่อยู่ข้างนอกให้รีบกลับเข้ามาในโรงแรม
หลังจากนั้นช่วงเย็นจนถึงค่ำก็มีการประท้วงของกลุ่ม Gen Z โดยเฉพาะบรรดานักศึกษาเกิดขึ้น แต่เป็นการประท้วงอย่างสันติและไม่รุนแรง โดยชนวนเหตุอย่างที่ปรากฎในข่าว คือความไม่พอใจรัฐบาล ทั้งจากกรณีการแบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ไม่ยอมลงทะเบียนและปฏิบัติตามกฎระเบียบใหม่ของรัฐบาล ตลอดจนปัญหาคอร์รัปชันที่กัดกินประเทศมาอย่างยาวนาน ในขณะที่เหล่าผู้นำทางการเมืองและครอบครัว ญาติพี่น้อง ต่างมีชีวิตอันหรูหรา
การประท้วงครั้งใหญ่ปะทุขึ้นในวันต่อมา โดยกลุ่ม Gen Z หลักหลายหมื่นคนออกมาร่วมชุมนุม ซึ่งในช่วงแรกเป็นไปอย่างสงบ ก่อนที่จะเริ่มบานปลายเป็นความรุนแรง หลังผู้ชุมนุมบางส่วนพยายามบุกเข้าไปในรัฐสภา และเกิดการเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่กองกำลังความมั่นคงที่ใช้ทั้งแก๊สน้ำตา กระสุนยาง ไปจนถึงกระสุนจริง ในการยิงใส่ผู้ชุมนุม จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตในวันแรก 21 คน
“ตอนแรกเขาบอกว่าจะใช้เป็นกระสุนยาง แต่ผลสุดท้ายเขาก็ใช้ปืนจริง ก็เลยกลายเป็นว่าวันที่ 8 จากที่ผู้ชุมนุมไม่พอใจอยู่แล้ว ก็เลยยิ่งจุดชนวนความไม่พอใจและตั้งคำถามว่าทำไมตำรวจต้องยิงผู้ที่บริสุทธิ์” พี่มดแดงกล่าว และบอกว่าเหตุการณ์ลุกลามอย่างรวดเร็วมาก ตัวอย่างที่ชัดเจนคือที่หน้าโรงแรมของเธอ
“ที่เห็นกับตาตั้งแต่ช่วงเช้า โรงแรมเราซึ่งอยู่ใกล้สถานีตำรวจ มีตำรวจประมาณ 50 นาย พยายามป้องกันกลุ่มผู้ประท้วงไม่ให้ผ่านเข้าไปยังสถานีตำรวจ ในขณะที่ผู้ประท้วงทยอยเดินเข้ามาสมทบ จากหลักสิบเพิ่มเป็นหลายร้อยคน และมีการใช้อิฐขว้างปาตำรวจ ส่วนตำรวจก็ยิงแก๊สน้ำตาตอบโต้ ทำให้ผู้ประท้วงวิ่งหนีอย่างโกลาหล
จากนั้นตำรวจได้ใช้ความรุนแรงมากขึ้น ทำให้กลุ่มผู้ประท้วงวัยรุ่นหลายคน ฝ่าแนวกั้นเจ้าหน้าที่เข้าไปในสถานีตำรวจ และเกิดการปะทะกันขึ้น ก่อนที่ผู้ประท้วงบางคนจะใช้ขวดที่ภายในมีน้ำมัน จุดไฟและโยนเข้าไปในสถานีตำรวจจนเกิดไฟไหม้”
โดยคลิปวิดีโออันน่าหวาดกลัวที่พี่มดแดงบันทึกไว้ เป็นภาพขณะที่เธอขึ้นไปอยู่บนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมที่ปิดให้บริการ และด้านหลังเป็นกลุ่มควันขนาดใหญ่ที่ลอยออกมาจากสถานีตำรวจที่ถูกเผา ขณะที่มีผู้ชุมนุมจำนวนมากอยู่ด้านล่าง ท่ามกลางบรรยากาศของความโกลาหล และมีเสียงปืนดังขึ้นเป็นระยะ
ผู้ก่อเหตุไม่ใช่แค่ Gen Z
คำถามที่หลายคนสงสัยคือ เหตุประท้วงที่ขยายตัวกลายเป็นความรุนแรงและมีการเผาทำลายอาคารสถานที่สำคัญต่างๆ ภายในเวลาไม่นาน เป็นฝีมือของกลุ่มผู้ประท้วง Gen Z เพียงกลุ่มเดียวหรือไม่
พี่มดแดงมองว่าคำตอบนั้นยากจะตัดสิน แต่สิ่งที่น่าสังเกตุคือการที่ความรุนแรงเกิดขึ้นเยอะมากและเร็วมากนั้น หากเป็นแค่กลุ่ม Gen Z ที่ออกมาประท้วง และไม่ได้มีการวางแผนก่อจลาจลมาก่อน อาจจะทำได้ยาก
“เราไม่ทราบว่ามันจะเป็นแค่ Gen Z หรือเปล่า เพราะความรุนแรงมันเยอะมาก ช่วงเวลาแค่ 20 นาที พวกเขาสามารถเผาสถานีตำรวจ และห้างสรรพสินค้าที่รัฐเป็นหุ้นส่วนได้เร็วมาก ถ้าเป็นกลุ่ม Gen Z ที่ไม่ได้มีการวางแผนมา จะเผาได้รวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร กลุ่มคน Gen Z ทั่วไปเขาก็พยายามอธิบายว่าไม่ใช่พวกเขาที่เป็นกลุ่มหัวรุนแรง”
“มันกลายเป็นแบบพอเริ่มรุนแรงขึ้น ผู้ชุมนุมก็ยิ่งก่อจลาจลหนักขึ้น โดยเมื่อตำรวจยิงแก๊สน้ำตาใส่ เขาก็หยิบเแล้วขว้างกลับไปที่ตำรวจ และแสดงออกราวกับว่าได้ชัยชนะ ขณะที่ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆ ก็ออกมาช่วยและเข้าร่วม”
“จริงๆ แล้วไม่ใช่เฉพาะแค่กลุ่ม Gen Z ที่มีความไม่พอใจรัฐบาล แต่คนเนปาล 80-90% ก็ไม่พอใจในระบบและการคอร์รัปชันของรัฐบาลอยู่แล้ว พอเกิดเหตุการณ์อย่างนี้เขาก็ร่วมมือช่วยกันทั้งหมด”
สถานการณ์ปัจจุบัน : ทหารคุมประเทศ – ตั้งนายกฯ หญิงคนแรก
สถานการณ์ ณ ปัจจุบัน (วันที่สัมภาษณ์ 12 กันยายน) พบว่าบรรยากาศในกาฎมาณฑุ สงบเงียบจนแทบจะไม่ต่างจากภาวะปกติ ประชาชนออกมาใช้ชีวิต สนามบินเปิดให้บริการ โดยสิ่งที่ต่างออกไปคือกำลังทหารจำนวนมากที่ควบคุมพื้นที่ต่างๆ
ภาวะสุญญากาศทางการเมืองที่เกิดขึ้นจากการลาออกของนายกรัฐมนตรี เค.พี. ชาร์มา โอลี และคณะรัฐบาล ทำให้กองทัพเนปาลกลายมาเป็นเสาหลักในการแก้ปัญหาของประเทศ และมีการพูดคุยกับตัวแทนกลุ่มผู้ประท้วงเพื่อตกลงกันว่าใครที่เหมาะสมจะรับหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี
ผลสรุปที่ออกมา คือ สุชีลา การ์กี อดีตประธานศาลฎีกาหญิงวัย 73 ปี ซึ่งจะกลายเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ โดยเธอต้องรับภารกิจหนักในการนำพาประเทศกลับสู่ความสงบและเตรียมพร้อมจัดการเลือกตั้งใหม่ภายในระยะเวลา 6 เดือน
เนปาลยังน่าเที่ยว-ลงทุน?
เหตุจลาจลและภาพอันน่ากลัวของการประท้วงเผาอาคารสถานที่ต่างๆ ของเอกชน โดยเฉพาะโรงแรมหรูอย่าง Hilton Kathmandu แน่นอนว่าจะส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อความมั่นใจของนักลงทุนหรือแม้แต่นักท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตาม พี่มดแดงซึ่งมีประสบการณ์ทำธุรกิจในต่างแดน ตั้งแต่การเปิดร้านนวดที่อังกฤษ และขยายเข้าไปทำธุรกิจที่เนปาลตั้งแต่ช่วงโควิดจนถึงปัจจุบันกว่า 6 ปี โดยเป็นเจ้าของโรงแรม The Vannasut hotel &spa, ร้านอาหาร Mythai restaurant และร้านนวดไทย Nuadthai spa อีก 3 สาขา เผยว่าเธอยังคงมั่นใจว่าธุรกิจในเนปาลน่าจะไปได้ดี หากหลังเหตุการณ์นี้ เนปาลได้ผู้นำที่ดูแลประเทศได้ดีและบริหารประเทศได้อย่างที่ทุกคนต้องการ โดยเฉพาะการไม่คอร์รัปชัน
“ถ้าหลังเหตุการณ์นี้ เนปาลได้ผู้นำที่ดูแลประเทศได้ดี และเป็นอย่างที่ประชาชนในเนปาลทุกคนต้องการ คือไม่คอร์รัปชันเหมือนที่ผ่านมา เราก็คิดว่าธุรกิจในเนปาลน่าจะไปได้ดีกว่าเดิม เนปาลเป็นประเทศกำลังพัฒนา แต่ก็น่าลงทุน มีศักยภาพ ทั้งค่าจ้างแรงงานที่ยังไม่สูง ถูกกว่าไทยถึง 3 เท่า”