×

มาดามแป้งจ่อฟ้องสมยศ ใช้หนี้สยามสปอร์ต – อะไรทำให้ฟุตบอลไทยมาถึงจุดนี้?

11.03.2025
  • LOADING...
thai-football-crisis

เมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา มีข่าวใหญ่ที่สะเทือนวงการฟุตบอลไทย นั่นคือข่าวที่พิพากษาให้ บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) เป็นฝ่ายชนะคดีเหนือสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยศาลมีคำสั่งให้สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ชดใช้เงิน 360 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยต่อสยามสปอร์ต

 

ประเด็นดังกล่าวเป็นข่าวร้อนแรงและเป็นที่พูดถึงอย่างมาก โดยในตอนนั้น มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ ซึ่งยังติดภารกิจอยู่ที่ต่างประเทศ ยังไม่มีการพูดถึงประเด็นนี้ในตอนนั้น

 

จนล่าสุดวันนี้ (11 มีนาคม) มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวในหลายประเด็นสำคัญ และได้ข้อสรุปเบื้องต้นเกี่ยวกับคดีนี้แล้ว นั่นคือการเลือกจากฟ้องร้องทางแพ่งกับ พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ

 

ซึ่งคงง่ายกว่าหากเรามาไล่ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบกันอีกครั้ง และพูดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ด้วย

 

จุดเริ่มต้นมหากาพย์สิทธิประโยชน์

 

จุดเริ่มต้นเรื่องนี้ต้องย้อนไปตั้งแต่สมัยที่สยามสปอร์ตได้รับการแต่งตั้งจากสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ซึ่งในตอนนั้นมี วรวีร์ มะกูดี เป็นนายกสมาคมฯ ให้เป็นผู้บริหารสิทธิประโยชน์ตั้งแต่ปี 2556-2565 รวมทั้งสิ้น 10 ปี

 

แต่หลังจากนั้นในปี 2559 เมื่อ พล.ต.อ. สมยศ ได้รับการเลือกตั้งเป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้มีการสั่งยกเลิกสัญญาการบริหารสิทธิประโยชน์สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ที่สยามสปอร์ตได้รับการแต่งตั้ง โดยทาง พล.ต.อ. สมยศ นายกสมาคมฯ ในตอนนั้น ให้เหตุผลว่า สัญญามีความผูกขาด บางส่วนไม่ชัดเจน และไม่เป็นธรรมต่อสมาคมฯ

 

นั่นทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างฟ้องอีกฝ่ายโดยเรียกค่าเสียหายที่ต่างกรรมต่างวาระต่อกันและกัน

 

โดยในตอนแรกคดีจะแบ่งเป็น 2 คดี คือ คดีแรก บริษัท ซีนิแพล็กซ์ จำกัด (บริษัทในเครือของผู้ให้บริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก) ยื่นฟ้องบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) (ผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการถ่ายทอดเสียงและภาพการแข่งขันฟุตบอลรายการต่างๆ ที่จัดโดยสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์) 

 

และคดีที่ 2 คือคดีที่บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ยื่นฟ้องสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กับพวกรวม 20 คน (ซึ่งคือนายกและคณะกรรมการสมาคม) เรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ สัญญา ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง

 

ต่อมาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ซึ่งเป็นศาลชั้นต้น ได้มีคำสั่งให้พิจารณาพิพากษารวมกัน และกลายเป็นมหากาพย์การสู้กันอันยาวนานในชั้นศาลนับแต่นั้นมา

 

ต่อสู้กันในชั้นศาล

 

ในยกแรก ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำพิพากษาเมื่อเดือนสิงหาคม 2562 โดยพิพากษาให้สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้แก่สยามสปอร์ตจำนวน 50 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้อง และให้สยามสปอร์ตคืนเงินจำนวน 240 ล้านบาทแก่บริษัท ซีนิแพล็กซ์ จำกัด จำเลยที่ 20 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2559

 

บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ในฐานะโจทก์ ไม่พอใจคำตัดสิน และมีการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษในเดือนกรกฎาคม 2564 

 

ศาลอุทธรณ์ชำนัญพิเศษมีคำพิพากษาแก้เป็นว่า ให้สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้แก่บริษัทสยามสปอร์ตจำนวน 450 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 27 มิถุนายน 2560) ถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ย 5 ต่อปีนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป

 

และให้บริษัทสยามสปอร์ต โจทก์ ชำระเงิน 240 ล้านบาทแก่บริษัทซีนิแพล็กซ์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2559 จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปีนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 20 แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี 

 

แต่เรื่องก็ไม่จบแค่นั้น หลังบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) โจทก์ และสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จำเลยที่ 1 มีการยื่นฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

 

สยามสปอร์ตชนะคดี สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ต้องชดใช้

 

ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีนี้ ซึ่งผลปรากฏว่า ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่าให้สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแก่บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) โจทก์ เป็นเงิน 360 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ 

 

จากคำพิพากษานี้ แม้จำนวนเงินตามที่ศาลระบุจะมีตัวเลขที่ 360 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาไว้ที่ 450 ล้านบาทก็ตาม แต่ตัวเลขดังกล่าวมาพร้อมกับดอกเบี้ย ซึ่งศาลระบุให้นับตั้งแต่ ‘วันฟ้อง’ จนถึงวัน ‘ชำระเสร็จ’

 

ซึ่งเบื้องต้นมีการคำนวณคร่าวๆ แล้วปรากฏว่า ตัวเลขนับเฉพาะดอกเบี้ยในปัจจุบันอาจจะเกิน 200 ล้านบาทไปแล้ว นั่นหมายความว่าเมื่อรวมกับเงินต้นแล้วสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ต้องชดใช้ให้สยามสปอร์ตเป็นเงินเกินกว่า 500 ล้านบาทไปแล้ว

 

และเมื่อนับว่าสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เพิ่งผ่านพ้นวิกฤตทางด้านการเงินมาหมาดๆ หลังจากที่ไทยลีกได้ผู้ถ่ายทอดสดและมีการเคลียร์หนี้สินต่างๆ ออกไปแล้วบางส่วน เงินกว่า 500 ล้านบาทที่สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ต้องใจในครั้งนี้ จึงกลายเป็นวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ครั้งใหม่ของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ไปในทันที

 

ความไม่ชอบมาพากลของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ยุคก่อน

 

ช่วงบ่ายวันนี้ (11 มีนาคม) มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ จัดงานแถลงข่าวขึ้นอย่างง่ายๆ ณ ที่ทำการสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ โดยแม้ในช่วงแรกของการแถลงข่าวจะเป็นการสรุปภาพรวมการทำงาน 1 ปีของสมาคมฟุตบอลในยุคที่เธอมาเป็นนายกสมาคมฯ แต่ไฮไลต์ของงานแถลงข่าวครั้งนี้ก็ตามมาหลังจากนั้น

 

โดยมาดามแป้งสาธยายรายละเอียดถึงคดีระหว่างสยามสปอร์ตกับสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ โดยเล่าถึงการทำงานของคณะกรรมการบริหารสมาคมฯ ชุดก่อนว่า ณ วันที่เธอเข้ามารับตำแหน่ง สมาคมฯ มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเพียง 27,076,886.97 บาทเท่านั้น แต่ขณะเดียวกันสมาคมฯ มีหนี้สินที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้อื่นๆ จำนวน 132,476,476 บาท

 

นอกจากนี้นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ คนปัจจุบัน ยังเล่าถึงกรณีเงินสนับสนุนจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ FIFA ที่จะให้เงินสนับสนุนประเทศสมาชิกปีละ 1.25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 42.2 ล้านบาท แต่มีการกู้เงินจาก FIFA เพื่อมาช่วยเหลือวงการฟุตบอลไทยจากปัญหาโควิด

 

โดยมีการระบุว่า อดีตนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้มีการกู้เงินระยะยาวและมีการเบิกรับครั้งเดียวเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2563 เป็นจำนวนเงิน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 155 ล้านบาท และไทยต้องชำระคืนผ่านการหักเงิน สนับสนุนประเทศสมาชิกปีละ 5แสนดอลลาร์สหรัฐเป็นเวลา 10 ปี ทำให้ปัจจุบันไทยได้รับเงินสนับสนุนจาก FIFA เหลือปีละ 7.5 แสนดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 25.3 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น

 

นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่คณะกรรมการบริหารสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ชุดก่อน มีการขายสิทธิ์การถ่ายทอดสดในต่างประเทศ ทั้งไทยลีก 1, ไทยลีก 2 และไทยลีก 3 ออกไปแล้วทั้งหมด ซึ่งทางสมาคมฯ ได้ซื้อลิขสิทธิ์เหล่านี้คืนมาแล้ว

 

แต่ยังมีสิทธิ์ที่อาจนำมาซึ่งผลประโยชน์บางอย่างอย่างถูกขายไปด้วยเช่นกัน และสมาคมฯ ไม่สามารถซื้อกลับมาได้ ทำให้ต้องรอจนกว่าจะหมดสัญญาเท่านั้น นั่นคือ Data Analysist กับ Betting Rights ของทีมชาติไทย

 

โดย Data Analysist เป็นข้อมูลจากการถ่ายทอดสดใช้สำหรับวิเคราะห์และประมวลผลเป็นสถิติการแข่งขัน เช่น เปอร์เซ็นต์การครองบอล จำนวนการเข้าทำ หรือข้อมูลการยิงตรงกรอบ-นอกกรอบ ฯลฯ

 

ส่วน Betting Rights หรือ Gaming Rights เป็นชุดข้อมูลเดียวกับ Data Analysist แต่เป็นการซื้อไปเพื่อใช้สิทธิตามจุดประสงค์พิเศษ 

 

นอกจากนั้นแล้วมาดามแป้งยังมีการเปิดเผยว่า อดีตนายกสมาคมฯ คนก่อน ได้รับเงินเดือนจากสมาคมฯ และบริษัทไทยลีก รวมกันเดือนละ 1 ล้านบาท ไม่รวมโบนัส แม้ว่าจะมีการชี้แจงว่าได้นำเงินเดือนทั้งหมด 32 ล้านบาทคืนให้สมาคมฯ แล้ว แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่พบหลักฐานการคืนเงินดังกล่าว

 

นอกจากนี้มาดามแป้งยังได้ให้หนึ่งในสภากรรมการสมาคมฯ อย่าง เลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล เปิดเผยเพิ่มเติมว่ามีการจ่ายเงิน 30 ล้านบาทให้ทนายเพื่อยื่นฎีกา ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ผิดปกติอย่างมาก เพราะในศาลชั้นต้นค่าทนายความเสนอเพียง 750,000 บาท ส่วนค่าทนายในชั้นอุทธรณ์อยู่ที่ 300,000 บาท 

 

แต่เมื่อถึงชั้นฎีกากลับมีการอนุมัติจ่ายค่าทนายสูงถึง 30 ล้านบาท ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตกลงกันไว้ว่าจะจ่ายเพียง 300,000 บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้ได้รับการอนุมัติก่อนสิ้นสุดวาระของอดีตนายกสมาคมฯ

 

เลิศศักดิ์กล่าวว่า “กรณีนี้มีความผิดปกติในการใช้เงิน ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์แอบแฝงหรืออาจเข้าข่ายการฉ้อโกงและฟอกเงิน ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยใช้เวลาตรวจสอบราว 1 เดือน และพบข้อพิรุธสำคัญ ซึ่งต้องพิจารณาว่าจะดำเนินการทางกฎหมายต่อไปอย่างไร เนื่องจากศาลฎีกาไม่รับฎีกา ทำให้คดีสิ้นสุดลงแล้ว”

 

ฟ้องแพ่งตามมาตรา 76

 

จากความไม่ชอบมาพากลทั้งหมด ทำให้มาดามแป้งในฐานะนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ตัดสินใจที่จะฟ้องเพื่อไล่เบี้ยความเสียหายตามมาตรา 76 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

 

โดยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 ระบุว่า ถ้าการกระทำตามหน้าที่ของผู้แทนของนิติบุคคลหรือผู้มีอำนาจทำการแทนนิติบุคคล เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น นิติบุคคลนั้นต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น แต่ไม่สูญเสียสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาแก่ผู้ก่อความเสียหาย

 

ขณะที่ยังมีวรรคสองระบุด้วยว่า ถ้าความเสียหายแก่บุคคลอื่นเกิดจากการกระทำที่ไม่อยู่ในขอบวัตถุประสงค์หรืออำนาจหน้าที่ของนิติบุคคล บรรดาบุคคลดังกล่าวตามวรรคหนึ่งที่ได้เห็นชอบให้กระทำการนั้นหรือได้เป็นผู้กระทำการทำดังกล่าว ต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายนั้น

 

ซึ่งประมุขลูกหนังไทยยืนยันว่า เตรียมนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมสภากรรมการในวาระเร่งด่วน พร้อมยื่นฟ้องไล่เบี้ยอดีตนายกสมาคมฯ และสภากรรมการชุดเก่า แม้ว่าศาลฎีกาจะระบุว่าอดีตนายกสมาคมฯ และสภากรรมการชุดเก่าไม่ต้องรับผิดชอบเป็นการส่วนตัวก็ตาม

 

มาดามแป้งกล่าวว่า “แป้งได้ตัดสินใจแล้วว่าในฐานะนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จะดำเนินการฟ้องไล่เบี้ยจากอดีตนายกสมาคมฯ เนื่องจากหนี้สินดังกล่าวเกิดจากการบริหารงานในยุคก่อนที่ได้ยกเลิกสัญญากับสยามสปอร์ตโดยไม่เป็นธรรม ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อวงการฟุตบอลไทย และทำให้ยุคของแป้งต้องรับภาระหนี้ก้อนนี้ ซึ่งเป็นหนี้สินของสมาคมฯ ที่ต้องชำระ

 

“แป้งเคารพคำพิพากษาของศาลฎีกา แต่การบอกเลิกสัญญากับสยามสปอร์ตไม่ถูกต้อง ทำให้สมาคมฯ ในยุคของแป้งต้องชดใช้ค่าเสียหายในคดีนี้ ดังนั้นแป้งจึงตัดสินใจนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมสภากรรมการเฉพาะกิจโดยด่วน เพื่อดำเนินการฟ้องไล่เบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 ต่ออดีตนายกสมาคมฯ และสภากรรมการยุคก่อน”

 

แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

 

แม้เงินจำนวนมหาศาลที่ศาลสั่งให้สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จ่ายต่อสยามสปอร์ตจะเป็นจำนวนที่เกินกำลังของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ไปบ้าง แต่บทสรุปของเรื่องราวนี้อาจไม่ได้มีแต่หนทางที่ย่ำแย่เสมอไป

 

ในช่วงท้ายของการแถลงข่าว มาดามแป้งเปิดเผยว่า เธอเตรียมจะไปคุยกับ ระวิ โหลทอง ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) เพื่อขอเจรจาไกล่เกลี่ย

 

โดยที่ผ่านมามาดามแป้งมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน และเชื่อว่าต่างฝ่ายต่างหวังดีต่อวงการฟุตบอลไทยและอยากที่จะหาทางออกร่วมกัน

 

ขณะที่ฝั่งของอดีตนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ อย่าง พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตนายกสมาคมฯ ก็เป็นการฟ้องคดีแพ่ง ซึ่งมาดามแป้งยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องส่วนตัว และเป็นการฟ้องร้องตามหน้าที่ที่ควรจะทำเท่านั้น

 

ต้องอย่าลืมว่ามาดามแป้งมานั่งในตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ด้วยการเป็น ‘มือประสาน 10 ทิศ’ ซึ่งนี่อาจจะเป็นอีกครั้งก็ได้ที่เราได้เห็นความสามารถนั้นของผู้หญิงแกร่งแห่งวงการฟุตบอลไทยคนนี้เฉิดฉายอีกครั้ง และมันจะช่วยให้วงการฟุตบอลไทยผ่านเรื่องราวเลวร้ายไปอีกหนก็เป็นได้

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising