ส่งออกไทยขยายตัว 19.0% ในเดือนกันยายน สูงสุดในรอบ 42 เดือน และขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 15 เหตุการณ์ส่งออกไปสหรัฐฯ ยังขยายตัวแรง แม้มาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) เริ่มมีผลบังคับใช้ไปแล้ว ด้านกระทรวงพาณิชย์ยังได้ปรับประมาณการส่งออกไทยทั้งปีนี้ เป็นขยายตัว 9.4 – 10.4% จากเป้าเดิมที่ 2-3%
วันนี้ (27 ตุลาคม) นันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า การส่งออกของไทยในเดือนกันยายน 2568 มีมูลค่า 30,970.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือราว 1,000,905 ล้านบาท) ขยายตัว 19.0% เมื่อเทียบเป็นรายปี (YoY) นับเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 15 ติดต่อกัน และเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 42 เดือน นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2565
โดยปัจจัยหลักที่สนับสนุนการส่งออกให้ฟื้นตัว เป็นผลจากมาตรการภาษีนำเข้าต่างตอบแทนของสหรัฐฯ (Reciprocal Tariff) ที่มีความชัดเจนมากขึ้น ประกอบกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่ส่งสัญญาณผ่อนคลายมากขึ้น ทำให้บรรยากาศการค้าโลกฟื้นตัว ช่วยให้การส่งออกไปยังตลาดหลักและตลาดรองกลับมาขยายตัวสูง อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าเกษตรของไทยยังคงอยู่ในภาวะหดตัว
นอกจากนี้ นันทพงษ์ยังอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัจจัยที่หนุนให้ส่งออกไทยขยายตัวเกินคาดต่อเนื่อง ได้แก่
- เศรษฐกิจโลกที่กำลังฟื้นตัว สะท้อนจาก Global PMI อยู่ที่ 50.8 ซึ่งอยู่ในแดนขยายตัว และภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) มีความชัดเจนขึ้น ช่วยให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวเล็กน้อย
- เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องจากสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก จากที่ลดลง 0.25% ในเดือนกันยายน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ GDP Q2 ของสหรัฐฯ อยู่ระดับ 3.8% เพิ่มขึ้นจากระดับ 3.3% ใน Q1 สะท้อนให้เห็นถึงอุปสงค์ที่ฟื้นตัว ตลอดจนดัชนีราคาผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น 0.3% ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภค
- วัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่กลับมา โดยเฉพาะการบริโภคบริการ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ คลาวด์
- ทองคำ โดยทองคำมีอัตราการส่งออกขยายตัวถึง 212% ขณะที่ทองคำไม่ขึ้นรูป ครองสัดส่วนถึง 4% ของการส่งออก
“การส่งออกในปัจจุบัน ได้แรงหนุนจากการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงสินค้าเกษตรแปรรูปและอาหารที่ยังคงมีความต้องการในตลาดโลก” นันทพงษ์กล่าว
โดยการส่งออก 9 เดือนแรกของปี 2568 มีมูลค่า 254,146.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (8,397,219 ล้านบาท) ขยายตัวที่ 13.9% หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวที่ 13.6%
ส่วนการนำเข้าในเดือนกันยายน 2568 มีมูลค่า 29,695.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (971,760 ล้านบาท) ขยายตัว 17.2% ขณะที่การนำเข้าตลอด 9 เดือนแรกของปี 2568 มีมูลค่า 254,575.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (8,516,656 ล้านบาท) ขยายตัว 11.9%
ทำให้ดุลการค้าไทย ในเดือนกันยายน 2568 เกินดุล 1,275.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (29,145 ล้านบาท) ส่วนภาพรวมในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 ไทยยังคงขาดดุลการค้า 429.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (119,437 ล้านบาท)
ส่องตัวเลขส่งออก 9 เดือนแรกปีนี้
- ม.ค. 2568 +13.6%
- ก.พ. 2568 +14.0%
- มี.ค. 2568 +17.8%
- เม.ย. 2568 +10.2%
- พ.ค. 2568 +18.4%
- มิ.ย. 2568 +15.5%
- ก.ค. 2568 + 11.0%
- ส.ค. 2568 + 5.8%
- ก.ย. 2568 +19%
เปิดสาเหตุทำไมส่งออกไปสหรัฐฯ ไม่ชะลอ
นันทพงษ์ยังประเมินว่า มาตรการภาษีของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกไทยอย่างจำกัด แม้สหรัฐฯ เริ่มเก็บอัตราภาษี Reciprocal Tariff ไปแล้วเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 เนื่องจากมองว่า ไทยมีความพร้อมรับมือมาตรการภาษีในระดับหนึ่ง นอกจากนี้การได้อัตราภาษี Reciprocal Tariff ที่ 19% ก็นับเป็นระดับที่ไทยสามารถแข่งขันได้
ทั้งนี้ การส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยขยายตัวถึง 35.3% ในเดือนกันยายน และขยายตัว 28.6% ตลอด 9 เดือนแรกของปี
ส่วนความเสี่ยงในการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ขึ้นอยู่กับ ห่วงโซ่อุปทานโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนระหว่างจีนและสหรัฐฯ ตลอดจนการแข็งค่าของสกุลเงินบาท รวมถึงการหยุดทำการของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (Government Shutdown) ซึ่งนันทพงษ์ระบุว่ายังไม่เห็นผลกระทบในปัจจุบัน แต่จะติดตามผลกระทบในระยะยาวอย่างใกล้ชิด
แนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี
สำหรับแนวโน้มการส่งออกในไตรมาสที่ 4 ของปี 2568 นันทพงษ์ คาดว่าจะยังคงขยายตัว แม้จะอยู่ในอัตราที่ชะลอลง ซึ่งนันทพงษ์คาดว่า จะอยู่ในระดับเดือนละ 25,000-26,000 ล้านดอลลาร์ หรือขยายตัวเฉลี่ยที่ 4% ตลอดไตรมาสสุดท้ายของปี
ส่วนประมาณการแนวโน้มการส่งออกตลอดทั้งปี 2568 นี้ ทางสนค.ได้ปรับเพิ่มเป็น ขยายตัว 9.4 – 10.4% หรือมูลค่าประมาณ 332,146.5 ล้านดอลลาร์ ถึง 329,146.5 ล้านดอลลาร์ จากเป้าเดิมที่ 2-3%
“ประมาณการใหม่เป็นการประเมินจากสถานการณ์ปัจจุบันอย่างระมัดระวัง นอกจากนี้ เป้าการส่งออกเดิมอยู่ในระดับที่ต่ำเกินไป” นันทพงษ์กล่าว พร้อมทั้งเตือนว่า การส่งออกในปีหน้าอาจไม่สูงเท่าปีนี้
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ มาตรการตอบโต้ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่สร้างแรงกดดันและความผันผวนต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ความเสี่ยงจากภาวะชัตดาวน์ของสหรัฐฯ ที่อาจยืดเยื้อและส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้า
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้เร่งขับเคลื่อนนโยบายหลายด้าน ทั้งการเจรจากับคู่ค้าเพื่อเพิ่มการนำเข้า เร่งปิดดีล FTA ที่อยู่ระหว่างเจรจา เข้มงวดการตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าในกลุ่มเฝ้าระวัง รวมถึงสร้างความเป็นธรรมให้ผู้ประกอบการไทย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการส่งออกที่ตั้งไว้
สำหรับแนวโน้มการส่งออกในปีถัดไป นันทพงษ์กล่าวว่าจะมีการประเมินอีกที โดยมีการดำเนินการทั้งสิ้น 3 ขั้นตอน ได้แก่ (1) การพิจารณาโมเดลจากข้อมูลในอดีต (2) การหารือกับผู้ประกอบการใน 10 สาขา (3) ประเมินสถานการณ์ตลาดกับทูตพาณิชย์ ซึ่งนันทพงษ์ระบุว่า จะดำเนินการแล้วเสร็จภายในช่วงกลางเดือนธันวาคม


